บทสรุปหุ้นไทยปี 63 ดัชนีลดลงจากปีก่อน 130 จุด มาร์เกตแคปหาย 5 แสนล้านบาท เหลือ 16.2 ล้านล้านบาท ต่างชาติเทขายทั้งปี 2.64 แสนล้านบาท รายย่อยช้อนเก็บ 2.16 แสนล้านบาท ด้านกูรูประเมินปี 64 เต็มที่ 1,550 จุด จากเม็ดเงินไหลเข้า
วานนี้ (31 ธ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทยส่งท้ายปี ที่ปิดตลาดไปเมื่อวันที่ 30 ธ.ค.ที่ผ่านมา ดัชนีหลักทรัพย์ปิดที่ระดับ 1,449.35 จุด ลดลง 12.60 จุด หรือ 0.86 % มูลค่าการซื้อขายอยู่ที่ระดับ 8.75 หมื่นล้านบาท โดยระหว่างวันปรับตัวสูงสุดที่ระดับ 1,479.04 จุด และต่ำสุดที่ระดับ 1,445.36 จุด ภาพรวม และเมื่อเปรียบเทียบกับวันสุดท้ายของปี 2562 ซึ่ง 1,579.84 จุด (30ธ.ค.62) พบว่าดัชนีลดลง 130.49 จุด ลดลง 8.25%
ขณะที่การซื้อขายสุทธิแยกตามประเภทนักลงทุน พบว่าในเดือนสุดท้าย นักลงทุนทั่วไปเป็นผู้ซื้อสะสมสูงสุด 1.83 หมื่นล้านบาท ตามด้วยนักลงทุนต่างประเทศที่กลับมาซื้อสะสมในตลาดหุ้นไทยเป็นเดือนที่2 อยู่ที่ 2.52 พันล้านบาท ขณะที่กลุ่มสถาบันขายสุทธิมากที่สุด 1.84 หมื่นล้านบาท และบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ขายสุทธิ 2.32 พันล้านบาท เป็นผลให้ตลอดทั้งปี 2563 พบว่านักลงทุนทั่วไปเป็นผู้ซื้อสะสมสูงสุด จำนวน 2.16 แสนล้านบาท ตามด้วยกลุ่มสถาบัน 3.34 หมื่น ล้านบาท และบัญชี บล. ซื้อสุทธิสะสม 1.42 หมื่นล้านบาท โดยนักลงทุนต่างประเทศขายสะสม 2.64 แสนล้านบาท
ภาพรวมปี 2563 ดัชนีหลักทรัพย์ฯสร้างจุดสูงสุด (New High) อยู่ที่ระดับ 1,600.48 จุด (17 ม.ค.) และต่ำสุด (New Low)อยู่ที่ 969.08 จุด (13 มี.ค.) ขณะที่มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เกตแคป) อยู่ที่ระดับ 16.2 ล้านล้านบาท ลดลงประมาณ 5 แสนล้านบาทจากสิ้นปี 2562 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 16.7 ล้านล้านบาท โดยมีอัตราเงินปันผลตอบแทนที่ระดับ 3.29 %
โดยหลักทรัพย์ที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ อันดับ 1.หุ้น YCI ราคาล่าสุด 13.20 บาทต่อหุ้น ให้ผลตอบแทนในช่วง 1 ปีที่ระดับ 900%, อันดับ 2.หุ้นฮอต DELTA ราคาล่าสุด 438.00 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 718.69% และอันดับ 3หุ้น EIC ราคาล่าสุด 0.28 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 600%
ส่วนหุ้นที่ให้ผลตอบแทนต่ำสุดในปี 2563 ได้แก่ อันดับ 1.LVT ราคาล่าสุด 0.02 บาทต่อหุ้น ผลตอบแทน -96.97% อันดับ 2. THL ราคาล่าสุด 0.46 บาทต่อหุ้น ลดลง - 92.31% และอันดับ 3.RICH ราคาล่าสุด 0.01 บาทต่อหุ้น ลดลง -85.71%
ส่วนสาเหตุที่หุ้นไทยวันสุดท้ายของปี 2563 อ่อนตัวลง ประเมินว่า เกิดจากความกังวลสถานการณ์การแพร่ระบาดระลอกใหม่ของไวรัสโควิด-19 ในประเทศ ที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และยังเป็นการเทรดวันสุดท้ายก่อนหยุดระยะยาวในช่วงเทศกาลปีใหม่ ทำให้มีแรงขายทำกำไรเพื่อลดความเสี่ยงและถือเงินสดไว้ก่อน เนื่องจากยังต้องติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดที่เกิดขึ้น และมาตรการเพิ่มเติมของภาครัฐฯ ซึ่งตลาดหุ้นไม่ชอบการล็อกดาวน์
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ ประเมินเป้าหมายดัชนีฯปี 2564 ว่า ดัชนีมีโอกาสถึงระดับ 1,550 จุด เนื่องจากได้อานิสงส์จากนโยบายของธนาคารกลางแต่ละประเทศที่อัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบมากขึ้นและทำให้สภาพคล่องทั่วโลกยังสูง ประกอบกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯที่มีแนวโน้มอ่อนค่าซึ่งจะหนุนเม็ดเงินลงทุนต่างประเทศไหลเข้าในตลาดหุ้นไทย อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาด้วยปัจจัยพื้นฐานภายในประเทศประเมินว่า ดัชนียังไม่พร้อมที่จะผลักดัน ขึ้นแบบจริงจัง และอาจยังไม่แข็งแกร่งเมื่อเทียบกับตลาดอื่นๆในภูมิภาค เนื่องจากการเติบโตมาจากฐานที่ต่ำในปีนี้ แต่การฟื้นตัวยังไม่สามารถไปถึงระดับก่อนเกิดวิกฤตโควิด-19 ทั้งในส่วนของภาวะเศรษฐกิจและกำไรของบริษัทจดทะเบียน อีกทั้งล่าสุดยังเกิดการแพร่ระบาดระลอกใหม่ในประเทศ
“กลยุทธ์การลงทุนในปี 2564 แนะนำกระจายความเสี่ยงพอร์ตลงทุน โดยลงทุนหุ้นไทยเพียงสัดส่วน 10%,หุ้นต่างประเทศ 30%,ตราสารหนี้ 30%,ทองคำ 10% และถือเงินสด 20%” นายณัฐชาต กล่าว
ด้าน นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่าแนวโน้มตลาดหุ้นไทยปี 2564 ประเมินเป้าหมายดัชนีหุ้นไทย พื้นฐานที่ระดับ 1,500 จุด ส่วนด้านเทคนิคอาจขยับขึ้นไปถึงบริเวณ 1,520-1,540 จุดได้ เนื่องจากมีแรงหนุนหลักๆมาจากกระแสฟันด์โฟลว์ต่างชาติที่คาดว่าจะไหลกลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทย หลังจากแนวโน้มกำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) น่าจะกลับมาเติบโตกว่า 35% จากปีนี้ที่ติดลบ 38% นอกจากนี้ ยังได้รับปัจจัยสนับสนุนจากความคืบหน้าวัคซีนต้านโควิด-19 จะทำให้ปัจจัยหลายๆอย่างดีขึ้นโดยเฉพาะภาวะเศรษฐกิจที่น่าจะฟื้นตัว รวมถึงนโยบายของผู้นำสหรัฐฯที่น่าจะเป็นบวกต่อการลงทุนในตลาดประเทศเกิดใหม่ (Emerging Market) ส่วนด้านปัจจัยเสี่ยงให้น้ำหนักที่ภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งหากเงินเฟ้อเร่งตัวมากกว่าที่คาดอาจทำให้ที่ประชุมคณะกำกับนโยบายการเงิน (กนง.) มีการปรับดอกเบี้ยขึ้นเร็วกว่าที่คาดได้ และปัจจัยเรื่องการกระจายของวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่คาดว่าของภูมิภาคเอเชียน่าจะเริ่มเกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังมากกว่าช่วงครึ่งปีแรก
“ดังนั้น แนะนำเลือกการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมที่น่าจะชนะตลาด ได้แก่ หุ้นวัฎจักรที่จะได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ อาทิ กลุ่มพลังงาน-ปิโตรเคมี,ธนาคารพาณิชย์-ธุรกิจการเงิน และกลุ่มค้าปลีก โดยแนะเลือกเล่นหุ้นรายตัว ส่วนหุ้นที่คาดว่าจะได้ผลบวกจากการกระจายวัคซีน ได้แก่ JWD, III และ WICE” นายอภิชาต กล่าว
ขณะที่ นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานค้าหลักทรัพย์บุคคล บล. บัวหลวง จำกัด แสดงความเห็นถึงทิศทางตลาดหุ้นไทยในปี 2564 ว่า ภาพรวม ประเมินเป้าหมายดัชนีอยู่ที่ระดับ 1,550 จุด คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E) ที่ 18.00 เท่า และคิดเป็นกำไรต่อหุ้น (EPS) ที่ 86.00 บาท จากสิ้นปี 2563 โดยมองว่าปี 2564 จะเป็นปีที่ตลาดหุ้นไทยเริ่มฟื้นตัวขึ้น เนื่องจากมีปัจจัยสนับสนุนมาจากแนวโน้มเศรษฐกิจที่มีโอกาสฟื้นตัว โดยประเมินเป้าจีดีพี 2564 เติบโต 4.4% เนื่องจากประเทศไทยจะได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของการค้าระหว่างประเทศ อีกทั้งคาดว่ารัฐบาลจะออกมาตรการกระตุ้นการบริโภคในประเทศเพิ่มเติม สำหรับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ และเริ่มมีการแพร่ระบาดในหลายจังหวัดของประเทศนั้น เบื้องต้นถือเป็นปัจจัยกดดันระยะสั้น เนื่องจากเชื่อว่าการรับมือกับการแพร่ระบาดรอบนี้ ทั้งภาครัฐและประชาชนทำได้ดีกว่าครั้งก่อน อีกทั้งนักลงทุนมองว่าการแพร่ระบาดรอบนี้เป็นเพียงปัจจัยชั่วคราวเท่านั้น และให้น้ำหนักกับการค้นพบวัคซีนป้องกันโควิด-19 มากกว่า
นายชัยพร กล่าวต่อว่า ขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจโลกในปีนี้ คาดว่าจะกลับมาฟื้นตัวขึ้น รวมถึงมีการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบของธนาคารกลางทั่วโลก ส่งผลให้สภาพคล่องอยู่ในระดับสูง นักลงทุนจึงมองหาตลาดใหม่ หรือ ประเทศที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวกในการลงทุน โดยเฉพาะอัตราเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยที่ยังเป็นบวก ทำให้ประเทศไทยยังน่าสนใจในสายตาต่างชาติ จึงนำเงินเข้ามาลงทุนในประเทศ โดยคาดว่าเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ (Fund Flow) จะไหลเข้าตลาดหุ้นไทยปี 2564 ประมาณ 1 ใน 3 ของเงินที่เคยออกไปย้อนหลัง 3 ปีที่ผ่านมา (2561-2563) กว่า 6 แสนล้านบาท
“ตลาดหุ้นยังคงมีความน่าสนใจ เพราะมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ต่อ หลังจากผ่านพ้นการแพร่ระบาดCOVID-19ไปแล้ว จึงแนะนำให้มองหาการลงทุนในหุ้นไทยและหุ้นต่างประเทศควบคู่กัน เพื่อกระจายความเสี่ยง และสร้างโอกาสในการได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้น ในสัดส่วน 60% รองลงมาเป็นการลงทุนในพันบัตรและตราสารหนี้ 15% การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ 10% ที่เหลือเป็นการลงทุนในทองคำและอื่นๆ” นายชัยพร กล่าว
นายชัยพร กล่าวด้วยว่า ส่วนกลุ่มหุ้นที่คาดว่าจะได้อานิสงส์จากการเติบโตของเศรษฐกิจปี2564 แนะนำหุ้นที่อิงกับวัฏจักรเศรษฐกิจ (Cyclical Stock) ได้แก่ กลุ่มปิโตรเคมี IVL, PTTGC และ IRPC กลุ่มค้าปลีก CRC, CPN และ CPALL กลุ่มบรรจุภัณฑ์ SCGP และกลุ่มบริษัทบริหารหนี้ JMT, CHAYO และ BAM เพราะแม้ภาคเศรษฐกิจจริงจะต้องใช้เวลาประมาณ 6-12 เดือน กว่าจะฟื้นตัวกลับไปเติบโตเท่ากับก่อนช่วงที่จะเกิดการระบาดของโควิด-19
วานนี้ (31 ธ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทยส่งท้ายปี ที่ปิดตลาดไปเมื่อวันที่ 30 ธ.ค.ที่ผ่านมา ดัชนีหลักทรัพย์ปิดที่ระดับ 1,449.35 จุด ลดลง 12.60 จุด หรือ 0.86 % มูลค่าการซื้อขายอยู่ที่ระดับ 8.75 หมื่นล้านบาท โดยระหว่างวันปรับตัวสูงสุดที่ระดับ 1,479.04 จุด และต่ำสุดที่ระดับ 1,445.36 จุด ภาพรวม และเมื่อเปรียบเทียบกับวันสุดท้ายของปี 2562 ซึ่ง 1,579.84 จุด (30ธ.ค.62) พบว่าดัชนีลดลง 130.49 จุด ลดลง 8.25%
ขณะที่การซื้อขายสุทธิแยกตามประเภทนักลงทุน พบว่าในเดือนสุดท้าย นักลงทุนทั่วไปเป็นผู้ซื้อสะสมสูงสุด 1.83 หมื่นล้านบาท ตามด้วยนักลงทุนต่างประเทศที่กลับมาซื้อสะสมในตลาดหุ้นไทยเป็นเดือนที่2 อยู่ที่ 2.52 พันล้านบาท ขณะที่กลุ่มสถาบันขายสุทธิมากที่สุด 1.84 หมื่นล้านบาท และบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ขายสุทธิ 2.32 พันล้านบาท เป็นผลให้ตลอดทั้งปี 2563 พบว่านักลงทุนทั่วไปเป็นผู้ซื้อสะสมสูงสุด จำนวน 2.16 แสนล้านบาท ตามด้วยกลุ่มสถาบัน 3.34 หมื่น ล้านบาท และบัญชี บล. ซื้อสุทธิสะสม 1.42 หมื่นล้านบาท โดยนักลงทุนต่างประเทศขายสะสม 2.64 แสนล้านบาท
ภาพรวมปี 2563 ดัชนีหลักทรัพย์ฯสร้างจุดสูงสุด (New High) อยู่ที่ระดับ 1,600.48 จุด (17 ม.ค.) และต่ำสุด (New Low)อยู่ที่ 969.08 จุด (13 มี.ค.) ขณะที่มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เกตแคป) อยู่ที่ระดับ 16.2 ล้านล้านบาท ลดลงประมาณ 5 แสนล้านบาทจากสิ้นปี 2562 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 16.7 ล้านล้านบาท โดยมีอัตราเงินปันผลตอบแทนที่ระดับ 3.29 %
โดยหลักทรัพย์ที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ อันดับ 1.หุ้น YCI ราคาล่าสุด 13.20 บาทต่อหุ้น ให้ผลตอบแทนในช่วง 1 ปีที่ระดับ 900%, อันดับ 2.หุ้นฮอต DELTA ราคาล่าสุด 438.00 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 718.69% และอันดับ 3หุ้น EIC ราคาล่าสุด 0.28 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 600%
ส่วนหุ้นที่ให้ผลตอบแทนต่ำสุดในปี 2563 ได้แก่ อันดับ 1.LVT ราคาล่าสุด 0.02 บาทต่อหุ้น ผลตอบแทน -96.97% อันดับ 2. THL ราคาล่าสุด 0.46 บาทต่อหุ้น ลดลง - 92.31% และอันดับ 3.RICH ราคาล่าสุด 0.01 บาทต่อหุ้น ลดลง -85.71%
ส่วนสาเหตุที่หุ้นไทยวันสุดท้ายของปี 2563 อ่อนตัวลง ประเมินว่า เกิดจากความกังวลสถานการณ์การแพร่ระบาดระลอกใหม่ของไวรัสโควิด-19 ในประเทศ ที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และยังเป็นการเทรดวันสุดท้ายก่อนหยุดระยะยาวในช่วงเทศกาลปีใหม่ ทำให้มีแรงขายทำกำไรเพื่อลดความเสี่ยงและถือเงินสดไว้ก่อน เนื่องจากยังต้องติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดที่เกิดขึ้น และมาตรการเพิ่มเติมของภาครัฐฯ ซึ่งตลาดหุ้นไม่ชอบการล็อกดาวน์
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ ประเมินเป้าหมายดัชนีฯปี 2564 ว่า ดัชนีมีโอกาสถึงระดับ 1,550 จุด เนื่องจากได้อานิสงส์จากนโยบายของธนาคารกลางแต่ละประเทศที่อัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบมากขึ้นและทำให้สภาพคล่องทั่วโลกยังสูง ประกอบกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯที่มีแนวโน้มอ่อนค่าซึ่งจะหนุนเม็ดเงินลงทุนต่างประเทศไหลเข้าในตลาดหุ้นไทย อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาด้วยปัจจัยพื้นฐานภายในประเทศประเมินว่า ดัชนียังไม่พร้อมที่จะผลักดัน ขึ้นแบบจริงจัง และอาจยังไม่แข็งแกร่งเมื่อเทียบกับตลาดอื่นๆในภูมิภาค เนื่องจากการเติบโตมาจากฐานที่ต่ำในปีนี้ แต่การฟื้นตัวยังไม่สามารถไปถึงระดับก่อนเกิดวิกฤตโควิด-19 ทั้งในส่วนของภาวะเศรษฐกิจและกำไรของบริษัทจดทะเบียน อีกทั้งล่าสุดยังเกิดการแพร่ระบาดระลอกใหม่ในประเทศ
“กลยุทธ์การลงทุนในปี 2564 แนะนำกระจายความเสี่ยงพอร์ตลงทุน โดยลงทุนหุ้นไทยเพียงสัดส่วน 10%,หุ้นต่างประเทศ 30%,ตราสารหนี้ 30%,ทองคำ 10% และถือเงินสด 20%” นายณัฐชาต กล่าว
ด้าน นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่าแนวโน้มตลาดหุ้นไทยปี 2564 ประเมินเป้าหมายดัชนีหุ้นไทย พื้นฐานที่ระดับ 1,500 จุด ส่วนด้านเทคนิคอาจขยับขึ้นไปถึงบริเวณ 1,520-1,540 จุดได้ เนื่องจากมีแรงหนุนหลักๆมาจากกระแสฟันด์โฟลว์ต่างชาติที่คาดว่าจะไหลกลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทย หลังจากแนวโน้มกำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) น่าจะกลับมาเติบโตกว่า 35% จากปีนี้ที่ติดลบ 38% นอกจากนี้ ยังได้รับปัจจัยสนับสนุนจากความคืบหน้าวัคซีนต้านโควิด-19 จะทำให้ปัจจัยหลายๆอย่างดีขึ้นโดยเฉพาะภาวะเศรษฐกิจที่น่าจะฟื้นตัว รวมถึงนโยบายของผู้นำสหรัฐฯที่น่าจะเป็นบวกต่อการลงทุนในตลาดประเทศเกิดใหม่ (Emerging Market) ส่วนด้านปัจจัยเสี่ยงให้น้ำหนักที่ภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งหากเงินเฟ้อเร่งตัวมากกว่าที่คาดอาจทำให้ที่ประชุมคณะกำกับนโยบายการเงิน (กนง.) มีการปรับดอกเบี้ยขึ้นเร็วกว่าที่คาดได้ และปัจจัยเรื่องการกระจายของวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่คาดว่าของภูมิภาคเอเชียน่าจะเริ่มเกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังมากกว่าช่วงครึ่งปีแรก
“ดังนั้น แนะนำเลือกการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมที่น่าจะชนะตลาด ได้แก่ หุ้นวัฎจักรที่จะได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ อาทิ กลุ่มพลังงาน-ปิโตรเคมี,ธนาคารพาณิชย์-ธุรกิจการเงิน และกลุ่มค้าปลีก โดยแนะเลือกเล่นหุ้นรายตัว ส่วนหุ้นที่คาดว่าจะได้ผลบวกจากการกระจายวัคซีน ได้แก่ JWD, III และ WICE” นายอภิชาต กล่าว
ขณะที่ นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานค้าหลักทรัพย์บุคคล บล. บัวหลวง จำกัด แสดงความเห็นถึงทิศทางตลาดหุ้นไทยในปี 2564 ว่า ภาพรวม ประเมินเป้าหมายดัชนีอยู่ที่ระดับ 1,550 จุด คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E) ที่ 18.00 เท่า และคิดเป็นกำไรต่อหุ้น (EPS) ที่ 86.00 บาท จากสิ้นปี 2563 โดยมองว่าปี 2564 จะเป็นปีที่ตลาดหุ้นไทยเริ่มฟื้นตัวขึ้น เนื่องจากมีปัจจัยสนับสนุนมาจากแนวโน้มเศรษฐกิจที่มีโอกาสฟื้นตัว โดยประเมินเป้าจีดีพี 2564 เติบโต 4.4% เนื่องจากประเทศไทยจะได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของการค้าระหว่างประเทศ อีกทั้งคาดว่ารัฐบาลจะออกมาตรการกระตุ้นการบริโภคในประเทศเพิ่มเติม สำหรับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ และเริ่มมีการแพร่ระบาดในหลายจังหวัดของประเทศนั้น เบื้องต้นถือเป็นปัจจัยกดดันระยะสั้น เนื่องจากเชื่อว่าการรับมือกับการแพร่ระบาดรอบนี้ ทั้งภาครัฐและประชาชนทำได้ดีกว่าครั้งก่อน อีกทั้งนักลงทุนมองว่าการแพร่ระบาดรอบนี้เป็นเพียงปัจจัยชั่วคราวเท่านั้น และให้น้ำหนักกับการค้นพบวัคซีนป้องกันโควิด-19 มากกว่า
นายชัยพร กล่าวต่อว่า ขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจโลกในปีนี้ คาดว่าจะกลับมาฟื้นตัวขึ้น รวมถึงมีการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบของธนาคารกลางทั่วโลก ส่งผลให้สภาพคล่องอยู่ในระดับสูง นักลงทุนจึงมองหาตลาดใหม่ หรือ ประเทศที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวกในการลงทุน โดยเฉพาะอัตราเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยที่ยังเป็นบวก ทำให้ประเทศไทยยังน่าสนใจในสายตาต่างชาติ จึงนำเงินเข้ามาลงทุนในประเทศ โดยคาดว่าเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ (Fund Flow) จะไหลเข้าตลาดหุ้นไทยปี 2564 ประมาณ 1 ใน 3 ของเงินที่เคยออกไปย้อนหลัง 3 ปีที่ผ่านมา (2561-2563) กว่า 6 แสนล้านบาท
“ตลาดหุ้นยังคงมีความน่าสนใจ เพราะมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ต่อ หลังจากผ่านพ้นการแพร่ระบาดCOVID-19ไปแล้ว จึงแนะนำให้มองหาการลงทุนในหุ้นไทยและหุ้นต่างประเทศควบคู่กัน เพื่อกระจายความเสี่ยง และสร้างโอกาสในการได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้น ในสัดส่วน 60% รองลงมาเป็นการลงทุนในพันบัตรและตราสารหนี้ 15% การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ 10% ที่เหลือเป็นการลงทุนในทองคำและอื่นๆ” นายชัยพร กล่าว
นายชัยพร กล่าวด้วยว่า ส่วนกลุ่มหุ้นที่คาดว่าจะได้อานิสงส์จากการเติบโตของเศรษฐกิจปี2564 แนะนำหุ้นที่อิงกับวัฏจักรเศรษฐกิจ (Cyclical Stock) ได้แก่ กลุ่มปิโตรเคมี IVL, PTTGC และ IRPC กลุ่มค้าปลีก CRC, CPN และ CPALL กลุ่มบรรจุภัณฑ์ SCGP และกลุ่มบริษัทบริหารหนี้ JMT, CHAYO และ BAM เพราะแม้ภาคเศรษฐกิจจริงจะต้องใช้เวลาประมาณ 6-12 เดือน กว่าจะฟื้นตัวกลับไปเติบโตเท่ากับก่อนช่วงที่จะเกิดการระบาดของโควิด-19