นางสุภาพร ลีนะบรรจง รักษาการกรรมการผู้จัดการ บลจ.กรุงศรี เปิดเผยว่า “ภาพรวมเศรษฐกิจโลกปี 2021 มีแนวโน้มการฟื้นตัวดีขึ้น หลังจากที่ทุกประเทศทั่วโลกได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ทั้งนี้ IMF คาดว่าเศรษฐกิจโลกกลับมาขยายตัวในปี 2021 ที่ 5.2% หลังจากที่หดตัว 4.4% ในปี 2020 ด้านการลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศได้รับอานิสงค์จากแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและกำไรของบริษัทจดทะเบียน ท่ามกลางสภาพคล่องในระบบที่สูง และดอกเบี้ยทั่วโลกที่อยู่ในระดับต่ำ ส่งผลบวกต่อการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง เช่น ตลาดหุ้น ด้านตลาดตราสารหนี้ต่างประเทศ มีแนวโน้มที่จะเห็น Credit spread ปรับตัวแคบลงได้ต่อเนื่อง ตามทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน”
“สำหรับสหรัฐนั้นได้รับอานิสงค์จากการที่รัฐบาลเตรียมใช้นโยบายการคลังอัดฉีดมาตรการเยียวยาผลกระทบจาก Covid-19 รอบใหม่เข้าสู่ระบบด้วยวงเงินกว่า 9 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นตัว นอกจากนี้ นโยบายภายใต้รัฐบาลใหม่ส่งผลดีมากขึ้น เช่น การขึ้นภาษีจะทำได้ยากขึ้น การลงทุนในกลุ่ม New economy เช่น e-commerce, digitization มีความน่าสนใจเนื่องจากมีการเติบโตสูง”
“ยุโรปยังคงเผชิญแรงกดดันจากการระบาดรอบใหม่ของ Covid-19 ทำให้รัฐบาลในหลายประเทศต้องประกาศมาตรการปิดเมืองรอบใหม่ เศรษฐกิจและภาคเอกชนได้รับผลกระทบจาก Covid-19 อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ธนาคารกลางยุโรป (ECB) เพิ่มปริมาณการทำ QE เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจยุโรปให้ฟื้นตัว และความสำเร็จของวัคซีนจะเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจและตลาดหุ้นยุโรปกลับมาฟื้นตัว”
“ด้านเศรษฐกิจจีนมีการฟื้นตัวที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง จากการควบคุมการแพร่ระบาดของ Covid-19 ที่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ภาคการบริโภค ภาคการผลิต และภาคการส่งออก กลับมาขยายตัว โดยในปี 2021 เศรษฐกิจจีนจะเป็น 1 ในประเทศที่มีการขยายตัวสูงที่สุดในโลก ทั้งนี้ IMF คาดว่าเศรษฐกิจจีนจะขยายตัว 8.2% ด้านสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน ซึ่งกดดันตลาดหุ้นจีนมาตลอดมีแนวโน้มคลี่คลายลง หลังจากโจ ไบเดน ได้รับการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐ”
“สำหรับมุมมองต่อเศรษฐกิจไทยคาดว่าจะยังคงอยู่ในภาวะหดตัว เนื่องจากการพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผู้บริโภคมีความระมัดระวังในการใช้จ่าย อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจมีแนวโน้มที่จะเริ่มฟื้นตัวชัดเจนมากขึ้นในไตรมาสที่สอง ตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่ปรับตัวดีขึ้นหลังจากการเข้าถึงวัคซีนต้านโควิด-19 เป็นวงกว้างมากขึ้น ในส่วนของภาคการผลิต คาดว่าจะกลับมาเติบโตได้ดีจากแรงหนุนของอุปสงค์ในตลาดโลกที่ปรับตัวดีขึ้น รวมถึงคาดว่ารัฐบาลจะยังคงมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องเพื่อหนุนการใช้จ่ายของผู้บริโภค”
“นอกจากนี้ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาลหลายโครงการจะทยอยเสร็จสิ้นในปี 2021 ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจ และสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ภาคเอกชนและเพิ่มการลงทุน ภาคการท่องเที่ยวจะยังคงอ่อนแอ โดยคาดว่านักท่องเที่ยวจะเริ่มกลับมาในไตรมาสที่สาม ซึ่งเป็นช่วงโลว์ซีซั่น ของไทย จึงไม่น่าจะที่จะมีจำนวนนักท่องเที่ยวมากนัก”
“อย่างไรก็ตาม การลงทุนในตลาดหุ้นไทยยังคงมีแนวโน้มได้รับแรงสนับสนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย และผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนฯ หลังจากการพัฒนาวัคซีนเป็นผลสำเร็จ รวมถึงนโยบายการเงินการคลังที่ยังคงเอื้อต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และกระแสเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างประเทศที่มีแนวโน้มไหลเข้าตามค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯที่มีแนวโน้มอ่อนค่าลง โดยในระยะสั้นบรรยากาศการลงทุนมีแนวโน้มถูกกดดันจากการกลับมาแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส Covid-19 อีกครั้งทั้งในประเทศไทย และในต่างประเทศ”
“การจัดพอร์ตการลงทุนในปี 2021 ควรให้ความสำคัญกับการกระจายการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์เพื่อลดความผันผวนและสร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ โดยจัดสรรเงินลงทุนบางส่วนในตราสารหนี้ไทยและต่างประเทศที่มีการลงทุนในพันธบัตรและหุ้นกู้คุณภาพดี เพื่อสร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ และลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุน เช่น กองทุน KFAFIX-A กองทุน KF-CSINCOM ควบคู่กับการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงซึ่งควรกระจายการลงทุนทั้งหุ้นไทยและหุ้นต่างประเทศ โดยในส่วนหุ้นต่างประเทศเน้นลงทุนในหุ้นที่มีคุณภาพสูงทั่วโลก สามารถสร้างรายได้สม่ำเสมอและมีแบรนด์ที่แข็งแกร่ง ทนทานต่อวัฏจักรเศรษฐกิจและมีศักยภาพในการเติบโตอย่างต่อเนื่องในระยะยาว เช่น กองทุน KFGBRAND ผสมผสานกับการลงทุนในกลุ่ม New Economy และ Megatrend ซึ่งมีการเติบโตสูงอย่างหุ้นจีน A-Shares และหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี โดยสามารถลงทุนผ่านกองทุน KFACHINA-A กองทุน KF-GTECH และ กองทุน KFHTECH-A เพื่อสร้างการเติบโตที่ดีของพอร์ตการลงทุนในระยะยาว” นางสุภาพร กล่าว