xs
xsm
sm
md
lg

ขออนุญาตพูดเรื่องตัวเองไว้สักวัน

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท


พุทธทาสภิกขุ
ปิดท้ายสัปดาห์นี้...ตรงกับวันศุกร์ที่ 1 มกราคม พุทธศักราช 2564 หรือคริสต์ศักราชที่ 2021 พอดิบ พอดี แต่ต้นฉบับที่เขียนเอาไว้นี้ จำต้องเขียนล่วงหน้าเกือบเป็นอาทิตย์ๆ ด้วยเหตุเพราะผู้ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบท่านกระตุ้นเตือน ให้ต้องส่งไม่ให้เกินวันที่ 30 ธ.ค.โดยเด็ดขาด อันเนื่องมาจากวันหยุด วันปีใหม่ อะไรทำนองนั้น...

ดังนั้น...โอกาสจะชวนใครต่อใครให้ร่อนไป-ร่อนมา ยังซีกโลกโน้น ซีกโลกนี้ คงไม่น่าจะเข้าท่า หรือไม่น่าจะถูกเรื่องมากมายสักเท่าไหร่นัก เพราะข่าวคราวความเคลื่อนไหว ความเป็นไปของโลกในช่วงนี้ มันออกจะ “ติดจรวด” อยู่พอสมควรทีเดียว อะไรที่เคยเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ แวบเดียวก็ต้อง “เจาะเวลาหาอดีต” ต้องกลายเป็นเรื่องเชยซ์ซ์ซ์ ไม่ทันสมัย ไม่สอดคล้องกับยุคสมัยไปซะยังงั้น ด้วยเหตุนี้...เลยคงต้องขออนุญาต ใช้ช่วงวาระเริ่มต้นปีใหม่ ฟ้าใหม่ เปิดอก เปิดใจ กับบรรดาท่านผู้อ่านทั้งหลายเอาไว้สักนิด โดยเฉพาะสำหรับการเอาแต่ร่อนมา-ร่อนไป แวบไปดู “บ้านเขา” หรือเอาแต่ดูประเทศโน้น ประเทศนี้ จนคล้ายๆ ไม่คิดจะสนใจ “บ้านเรา” หรือประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮาทั้งหลาย ไปเลยถึงขั้นนั้น...

แต่จริงแล้ว...คงไม่ถึงกับ “ใช่” ไปซะทั้งหมด คือด้วยเหตุที่ในแต่ละวัน แต่ละสัปดาห์ แทบไม่มีโอกาสเว้นว่าง เรียกว่า...ตั้งแต่จันทร์ไปจนถึงศุกร์ เผลอๆ อาจแถมวันอาทิตย์อีกด้วยต่างหาก ต้องลงมือเขียน หรือ “ปั่น” ต้นฉบับถึง 2 เรื่อง 2 ชิ้นในแต่ละวัน ทั้งๆ ที่อายุ อานามปาเข้าไประดับใกล้จะแง้มฝาโลงเต็มที การหาทางทำให้ต้นฉบับ 2 ชิ้น 2 เรื่อง มันไม่ใช่เป็นเรื่องเดียวกัน หรือคนละเรื่องเดียวกัน ไม่ได้ออกไปทางซ้ำๆ ซากๆ หรือ “บายพาส” จากที่ส่งให้สำนักโน้น เปลี่ยนมาส่งให้สำนักนี้ อะไรประมาณนั้น มันเลยหนีไม่พ้นต้องหันมาหัดอ่าน หัดเขียน เรื่องราวเกี่ยวกับ “บ้านเขา” หรือเรื่องที่เกี่ยวกับต่างชาติ ต่างประเทศ เอาไว้มั่ง เพื่อไม่ให้ไป “ซ้ำ” กับเรื่องภายในประเทศ ที่ต้องปั่นกันแบบวันต่อวัน ให้กับอีกสำนักหนึ่ง ที่ไม่ใช่เว็บไซต์ “ผู้จัดการ” ของหมู่เฮา...

และอีกประการหนึ่ง...คงต้องยอมรับเอาจริงๆ นั่นแหละว่า เรื่องราวของ “บ้านเรา” หรือประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮามันออกจะ “วนไป-วนมา” ไม่คิดจะไปไหนสักกะที คือถ้าต้องออกเรี่ยว ออกแรง “ด่าบิ๊กตู่” ตลอดช่วง 5 ปี 6 ปี จนแทบจะปีที่ 7 เข้าไปแล้ว มันออกจะเป็นอะไรที่ “ปากเปียก-ปากแฉะ” น่าเหน็ดเหนื่อย เมื่อยล้า เป็นอย่างยิ่ง ยิ่งถ้าต้อง “ด่า” กันวันละ 2 ครั้งหลังอาหาร หรือวันละ 2 ต้นฉบับ ก็ยิ่งน่าเบื่อ น่าสะอิดสะเอียนตัวเองมิใช่น้อย โดยเฉพาะช่วงหลังๆ...ที่อายุ-อานาม นับวันจะมากขึ้น แก่ขึ้นไปตามลำดับ แรงกระตุ้น แรงจูงใจ ในการด่าผู้อื่น หรือเบียดเบียนผู้อื่น มันออกจะลดน้อย ถอยลง ไม่อาจเปล่งศักยภาพแห่งความเป็น “ปากสุนัข” ได้เหมือนแต่ก่อนๆ ด้วยเหตุนี้...การเปลี่ยนแนว ฉีกแนว มาติดตามความเคลื่อนไหว ความเป็นไปของบ้านอื่น เมืองอื่น จึงแทบกลายเป็น “ไฟต์บังคับ” กันไปแล้ว แม้ต้องไปเบียดเนื้อที่ พื้นที่ ของผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญ อย่างท่านอาจารย์ “สุดาทิพย์ อินทร” หรือคุณพี่ “โสภณ องค์การณ์” เขา...

แต่ก็อย่างว่า...การหันมาให้ความสนใจ ติดตามเรื่องราวของบ้านอื่น เมืองอื่น เอาไป-เอามาแล้ว ก็น่าจะพอก่อให้เกิดประโยชน์ต่อ “ตัวเอง” และ “ผู้อื่น” มากบ้าง-น้อยบ้างไปตามสภาพ คือมันพอช่วยให้ “รู้โลก” และ “รู้เรา” ไปภายในขั้นตอนเดียวกัน หรืออย่างที่อดีตนักปราชญ์ นักเขียน และกวีชาวอเมริกันเชื้อสายสเปน ที่มีชื่อเสียงเรียงนามยาวอีเหลนเป๋นในภาษาสเปน แต่เป็นที่รู้จักกันในหมู่ชาวอเมริกันว่า “นายจอร์จ ซันตายานา” (George Santayana) ที่ค่อนข้างเป็นผู้เชี่ยวชาญในการประดิษฐ์คิดค้นคำพูด คำพังเพย หรือวาทะต่างๆ ได้เคยเสกสรร นิรมิต คำพูดประโยคหนึ่ง เอาไว้ตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ. 1863-1952 นั่นแหละว่า... “A man’s feet must be planted in his country, but his eyes should survey the world.” หรือ “เท้าของคนควรต้องปักอยู่ในประเทศของเขา ขณะดวงตาควรสำรวจดูโลก” อะไรประมาณนั้น...

อีกทั้ง...ท่ามกลางความเป็นไปของโลก ที่นับวันมันจะใกล้ชิดติดพัน ชนิดแทบไม่เหลือ “พรมแดน” เข้าไปทุกที การหันมาสำรวจตรวจสอบบรรดาสิ่งเหล่านี้ ความเคลื่อนไหวเหล่านี้ ก็อาจพอช่วยให้เท้าที่ต้องปักอยู่ในประเทศตัวเอง มันไม่ถึงกับลื่นไถล ซัดๆ โซเซ ล้มคว่ำคะมำหงาย โดยที่ตัวเองก็แทบไม่รู้ตัวเอาเลยทำนองนั้น เพราะเอาเข้าจริงๆ แล้ว...หลายต่อหลายครั้งที่ความผันแปรเปลี่ยนแปลงภายในประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา มันมีความเกี่ยวข้อง เกี่ยวพัน อย่างแยกไม่ออก กับความหมุนเวียน เปลี่ยนแปลงที่อุบัติขึ้นมาในระดับโลก ไม่ว่าตั้งแต่ยุคที่ “เรือปืน” ของพวกฝรั่งมังค่า เริ่มเข้ามา “ล่าอาณานิคม” ในย่านนี้ การอุบัติขึ้นมาของสงครามโลกครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2 สงครามเย็น สงครามกับการก่อร้าย ฯลฯ ล้วนแล้วแต่มีส่วนเกี่ยวข้อง พัวพัน กับความเป็นไปทางการเมือง-เศรษฐกิจ-สังคม ในประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา มากบ้าง-น้อยบ้างไปตามสภาพ เอาง่ายๆ แค่ว่า...แม้แต่อภิมหาวิกฤตการณ์เศรษฐกิจปี ค.ศ. 1920-30 หรือที่เรียกกันว่า “The Great Depression” นั้น ไปๆ-มาๆ แล้ว...มันออกจะมีความเชื่อมโยงกับการปฏิวัติ การพลิกฟ้า-คว่ำดิน ในยุคปีพุทธศักราช 2475 ไม่น้อยทีเดียว...

ยิ่งถ้าหากเป็นยุคนี้-สมัยนี้ด้วยแล้ว...ไม่ว่าใครก็เถอะ ถ้าหาก “ไม่รู้เขา” โอกาสที่จะ “รู้เรา” รู้ว่าตัวเองเป็นใคร หรือเป็นอะไรกันแน่ย่อมแทบเป็นไปไม่ได้ยิ่งขึ้นไปเท่านั้น ดังนั้น...การไม่คิดจะวนไป-วนมาอยู่กับ “บิ๊กตู่” จะโดยความเบื่อ ความเอียน หรือความอะไรต่อมิอะไรก็แล้วแต่ เอาไป-เอามา...มันก็พอก่อให้เกิด “ประโยชน์” มากบ้าง-น้อยบ้าง ไปตามสภาพ โดยเฉพาะเมื่อ “โลก” ทุกวันนี้ มันออกจะเป็นโลกที่ “ไม่น่าจะเหมือนเดิม” อีกต่อไป ไม่ว่าทางการเมือง-เศรษฐกิจ-หรือแม้แต่สังคม วัฒนธรรม ก็แล้วแต่เป็นโลกที่กำลังเกิด “ความเปลี่ยนแปลง” อย่างชนิดฉกาจฉกรรจ์เอามากๆ เปลี่ยนกันชนิดที่ “ความเป็นประชาธิปไตย” อันเป็นอะไรที่ดูสูงส่ง วิเศษวิเสโสเสียเหลือเกิน ล้วนต่างแต่ต้องกลายไปเป็น “ประชาธิป...ตาย” กันไปเป็นแถบๆ!!! ขณะที่ “ความเป็นเผด็จการ” อันเคยเป็นอะไรที่น่าเกลียด น่าทุเรศเอามากๆ แต่ถ้าหากเป็น “เผด็จการโดยธรรม” ดังที่อภิมหาพระอย่าง “ท่านพุทธทาสภิกขุ” ท่านปรารภ รำพึง เอาไว้แล้ว กลับเป็นอะไรที่ “ใช้การได้” หรือ “พอรับได้” ไม่ว่าจะเอาไว้รับมือกับการเมือง-เศรษฐกิจ-สังคม ไปจนถึง “สุขภาพ” เอาเลยก็ยังได้...

จะด้วยเหตุเพราะสิ่งที่อดีตนักปรัชญาและรัฐบุรุษชาวไอริช “นายเอ็ดมันด์ เบิร์ก” (Edmund Burke) ท่านเคยได้เอ่ยเอาไว้เป็นวาทะ หรือไม่ เพียงใด ก็ตามที คือสิ่งที่เรียกว่า “เสรีภาพ” ในยุคนี้ สมัยนี้ นับวันมันชักหนักไปแนวที่ท่านประดิษฐ์คิดค้น คำพูดคำจา เอาไว้ประมาณว่า... “What is liberty without wisdom and without virtue? It is the greatest of all possible evils.” หรือ “เสรีภาพที่ปราศจากปัญญาและคุณธรรม จะต่างอะไรไปจากความชั่วที่ร้ายกาจที่สุด” ประมาณนั้น ความก้าวหน้าก้าวไกลของเสรีภาพที่มีอุปกรณ์ เครื่องมือ หรือมี “เทคโนโลยี” หนุนช่วย จนหาขอบเขต พรมแดน หรือข้อจำกัดใดๆ แทบไม่เจอไม่ว่าในระดับประเทศ สังคม หรือแม้แต่ “จิตสำนึก” ของแต่ละปัจเจกบุคคลก็แล้วแต่ กำลังกลายเป็น “เงื่อนไข” และ “เหตุปัจจัย” ที่ก่อให้เกิด “ความเปลี่ยนแปลง” และการ “ต่อต้านความเปลี่ยนแปลง” จนเรื่องของ “บิ๊กตู่” เป็นแค่เรื่องนะจ๊ะ...นะจ๊ะ เท่านั้นเอง




กำลังโหลดความคิดเห็น