ข่าวคราวเกี่ยวกับ “ไวรัส” นั้น...ดูเหมือนว่าใครต่อใครเค้าพูดๆ กันไปเยอะแล้ว ไม่ว่า “บ้านเรา” หรือ “บ้านเขา” โดยเฉพาะในช่วงใกล้ๆ จะปีหน้า-ฟ้าใหม่ หรือในช่วงระหว่างนี้ เรียกว่า...เล่นเอา “งานกร่อย” กันไปเป็นรายๆ ไม่ว่างานฉลองคริสต์มาส หรือปีใหม่ แต่สำหรับ “ไวรัล” หรือการพ่นไป-พ่นมากันแบบปากต่อปากนี่สิ!!! ผู้ที่หันมาให้ความสนใจให้ความสำคัญ อาจน้อยไปนิด แม้ว่า...ถ้าลองเผลอๆ ขึ้นมาเมื่อไหร่ อาจนำไปสู่เรื่องใหญ่ เรื่องโตระดับระหว่างประเทศ หรือระดับโลก เอาเลยก็ไม่แน่...
อย่างเรื่อง “ไวรัล” ที่กำลังขึ้นหน้า-ขึ้นตาในสังคมอเมริกัน อันเนื่องมาจากพื้นฐานความรู้สึกแบบ “เกลียดจีน-กลัวจีน” ระดับอาจที่ถือเป็น “โรคระบาด” อีกชนิดหนึ่ง เป็น “Xenophobia” หรือ “Sino-phobia” อะไรประมาณนั้น ที่แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นมานานแล้ว ย้อนหลังกลับไปถึงช่วงปลายศตวรรษที่ 19 โน่นเลย หรือช่วงที่เกิดการตื่นทอง การขุดทองแถวๆ รัฐแคลิฟอร์เนียอันเป็นตัวดึงดูดให้คนจีน แรงงานจีน หลั่งไหลอพยพเข้ามาในอเมริกากันเป็นจำนวนไม่น้อย ต่อจากนั้น...ก็อาจมีช่วงระยะแห่งยุค “สงครามเย็น” ที่คอยเป็นตัวเติมเชื้อ เพิ่มเชื้อ ไม่ให้ความรู้สึกเหล่านี้หมดลงไปง่ายๆ อันเนื่องมาจากความแตกต่างระหว่างความเป็น “สังคมคอมมิวนิสต์” ของคุณพี่จีน ที่ออกจะเป็นคนละเรื่อง คนละม้วนกับ “สังคมเสรี” อย่างคุณพ่ออเมริกา...
และแม้ว่าคุณพ่ออเมริกาเองนั่นแหละ...ที่เป็นผู้เปิดประตู กวักมือ เชื้อเชิญ ให้พญามังกรเลื้อยลอดออกมาจาก “ม่านไม้ไผ่” อย่างเป็นระบบและเป็นกิจการ ระหว่างที่คิดหันไปโดดเดี่ยวหมีขาวรัสเซีย ไม่ให้มีโอกาสย่างกรายออกมาจาก “ม่านเหล็ก” ในยุคสหภาพโซเวียตได้มากมายสักเท่าไหร่นัก แต่ครั้นเมื่อถึงจังหวะที่พญามังกรชักมาแรงแซงโค้ง ทำท่าว่าจะแซงหน้า แซงตา คุณพ่ออเมริกาขึ้นเป็น “มหาอำนาจอันดับ 1 ทางเศรษฐกิจ” อีกแค่ไม่กี่ปีนับจากนี้ การแพร่กระจาย “ไวรัล” หรือการโหมกระแส “Xenophobia” เพื่อให้เกิดความกลัวจีน เกลียดจีน ในสังคมอเมริกันทุกวันนี้ คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้ว่า...ออกจะเป็นอะไรที่เข้มข้น ดุเดือดเลือดพล่านขึ้นไปตามลำดับ หรืออาจเรียกว่า...กลายเป็น “กระแสหลัก” ของสังคมอเมริกันทุกวันนี้ไปแล้วก็ว่าได้ อย่างน้อย...ก็พออาศัยข้อพิสูจน์ หลักฐานยืนยันจากตัวเลขการสำรวจ วิจัย ความคิด-ความเห็นของอเมริกันชนคราวล่าสุด โดย “Pew Research Center” เมื่อช่วงปลายปี ค.ศ. 2019 ที่เพิ่งผ่านมานี่เอง ซึ่งได้สรุปเอาไว้ชัดเจนว่าบรรดาอเมริกันชนไม่น้อยกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ ที่ “ติดเชื้อ” ชนิดนี้ มากซะยิ่งกว่าผู้ติดเชื้อไวรัส “COVID-19” ไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า...
และเมื่อวัน-สองวันที่ผ่านมานี่เอง...คดีระเบิดแถวๆ ย่านดาวน์ทาวน์ ในเมืองแนชวิลล์ รัฐเทนเนสซี ก็ดูจะยิ่งเป็นตัวตอกย้ำให้เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในสังคมอเมริกัน หรือการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่เพิ่งผ่านพ้นไปหมาดๆ น่าจะไม่ได้ช่วยคลี่คลาย ทุเลาเบาบาง บรรดาความรู้สึกอันมีที่มาจากเชื้อ “ไวรัล” ตัวนี้เอาเลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะเมื่อตัวผู้ต้องสงสัยว่าน่าจะเป็น “มือระเบิด” และตายไปพร้อมกับระเบิดของตัวเอง ชื่อคล้ายๆ ดาราหนังฝรั่งยุคก่อน คือ “นายแอนโธนี ควินน์ วอร์เนอร์” (Anthony Quinn Warner) แม้ว่ายังไม่อาจหาข้อสรุปถึง “แรงจูงใจ” ในการก่อเหตุระทึกขวัญคราวนี้ได้ถนัดๆ แต่จากการให้ปากคำของผู้ใกล้ชิด ถึงอาการ “โรคประสาท” ของมือระเบิดรายนี้ โดยเฉพาะการคิด การตั้งข้อสมมติฐาน ว่าเทคโนโลยีระบบ “5 G” ของจีนนั้น มีจุดมุ่งหมายเพื่อสอดส่อง ล้วงความลับชาวอเมริกันโดยเฉพาะ ก็อาจพอใช้เป็นภาพสะท้อนถึงอารมณ์ความรู้สึกทำนองนี้ ในสังคมอเมริกัน ว่ามันลุกลามไปแล้วถึงขั้นไหน ถึงขั้นคิดจะวางระเบิด “ตึกเอ็มไพร์สเตท” เป็นรายต่อไปหรือไม่ อย่างไร ก็คงต้องคอยติดตามกันต่อ...
แต่ที่แน่ๆ ก็คือ...ภายใต้การตอกย้ำแบบย้ำแล้ว ย้ำอีก อย่างเป็นระบบและเป็นกระบวนการของบรรดา “นักการเมือง” ในอเมริกาไล่มาตั้งแต่ “ประธานาธิบดี” ไปยัน ส.ส.-ส.ว.ในแต่ละราย ไม่ว่าพรรครีพับลิกัน หรือเดโมแครต ได้กลายเป็นการเพิ่มเชื้อ เติมเชื้อให้กับอารมณ์-ความรู้สึกชนิดนี้ จนบรรดาอเมริกันชนทั้งหลาย น่าจะ “กู่ไม่กลับ-หลับไม่ตื่น-ฟื้นไม่มี” หนักยิ่งขึ้นเรื่อยๆ หรือถึงขั้นที่ทำให้พรรคการเมืองฝ่ายตรงข้าม ที่พยายามช่วงชิงชัยชนะระหว่างกันและกัน ถึงขั้น “แบ่งขั้ว-แบ่งข้าง” ออกเป็น “ฝ่ายแดง”กับ “ฝ่ายน้ำเงิน” ชนิดแทบกลายเป็น “สงครามกลางเมือง” รูปแบบใหม่ไปแล้ว กลับต้องยินยอมพร้อมใจหันมาต่อต้าน หรือหันมาแสดงปฏิกิริยาแห่งความ “กลัวจีน-เกลียดจีน”แบบไม่ถึงกับผิดแผก-แตกต่าง ไปจากกันมากมายสักเท่าไหร่นัก...
ความกลัวจีน เกลียดจีน ที่กลายมาเป็น “กระแสหลัก” ของสังคมอเมริกันไปแล้วในทุกวันนี้...จึงอาจกลายเป็นตัวสร้าง “ปัญหา” ให้กับประเทศอเมริกา ไม่น้อยไปกว่าเชื้อ “ไวรัส” ที่กำลังแพร่ระบาด จนส่งผลให้ประเทศอเมริกากลายเป็น “จ้าวโรค” มาโดยตลอด เพราะ “ไวรัล” ในแต่ละรูป แต่ละแบบ ที่ถูกปล่อยออกมา หรือถูกพ่นกันไป-พ่นกันมา กลายเป็นตัวที่ทำให้พรรคการเมืองที่กำลังผงาดขึ้นเป็นรัฐบาล อย่างพรรคเดโมแครต ย่อมหนีไม่พ้นต้องหันมาแสดงอาการกลัวจีน และเกลียดจีนให้มากๆ เข้าไว้อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธ ไม่งั้น...โอกาสที่จะถูกกล่าวหาว่าลูกชายว่าที่ประธานาธิบดี “นายฮันเตอร์ ไบเดน” ไปมีอะไรต่อมิอะไรกับจีน รับเงินจีน ใช้บริการทางเพศจากเด็กๆในเมืองจีน จนทำให้ตัวประธานาธิบดีอาจถูกมองเป็น “หุ่นกระบอก” ของจีน เหมือนอย่างที่ผู้ซึ่งกำลังพ้นไปจากตำแหน่งประธานาธิบดี อย่าง “ทรัมป์บ้า” เคยถูกมองว่าเป็น “หุ่น” ของรัสเซียมาแล้ว ทำนองนั้น...
กระแส “ไวรัล” ในลักษณะที่ว่า...เลยทำให้โอกาสที่ใครต่อใครทั้งหลาย เคยคาดๆกันไปว่า การประนีประนอมยอมความระหว่างจีนกับอเมริกา ที่เคยต้องทำสงครามการค้า การเมือง การเทคโนโลยี ฯลฯ จนแทบกลายเป็น “สงครามเย็นยุคใหม่” ไปแล้วในทุกวันนี้ น่าจะมีการลดราวาศอกลงไปมั่ง จึงออกจะเป็นอะไรที่ยากส์ส์ส์เอามากๆ หรือไม่น่า“ง่ายดาย” สักเท่าไหร่ สำหรับรัฐบาลใหม่ ภายใต้การนำของพรรคเดโมแครต ที่กำลังถูกกล่าวหาว่าแม้แต่ผู้สนับสนุนตัวเอง อย่างพวก “Black Live Matters” นั้น ก็คือผู้ที่ได้รับการสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง จากบรรดาชาวจีนทั้งหลายนั่นเอง...
และถ้ายิ่งว่ากันในทาง “ทฤษฎี” แล้ว...ยิ่งเป็นอะไรที่น่าสนใจ น่าติดตาม อย่างมิอาจกะพริบตา คือโดยพื้นฐาน โดยสมมติฐานทั่วๆ ไปนั้น ไม่ว่าสังคมใดก็เถอะ...ถ้าหากดันตกอยู่ภายใต้ความปั่นป่วนวุ่นวาย ความย่ำแย่ในทางเศรษฐกิจหนักยิ่งขึ้นเท่าไหร่ก็ตาม โอกาสที่จะกลายสภาพเป็น “แหล่งปล่อยเชื้อไวรัล” หรือกลายเป็นสังคมที่ไร้เหตุ ไร้ผล มุ่งแต่จะเชื่อในสิ่งที่ตัวเองต้องการเชื่อ ยิ่งมีความเป็นไปได้สูงยิ่งขึ้นไปเท่านั้น โดยสำหรับ “เศรษฐกิจอเมริกา” ในทุกวันนี้ ก็น่าจะอยู่ในสภาพต้องหายใจทางเหงือกไม่ใช่แค่ทางปาก เอาเลยก็ว่าได้ โอกาสที่กระแสแห่งความกลัวจีน เกลียดจีน หรือการแพร่ระบาดของโรค “Xenophobia” ในสังคมอเมริกานับจากนี้ จึงน่าหนักหนาสาหัสยิ่งขึ้นเรื่อยๆ และอาจกลายเป็นตัวบีบบังคับให้รัฐบาลใหม่ของพรรคเดโมแครต หนีไม่พ้นต้องแสดงออกถึงความกลัวจีน เกลียดจีน ในลักษณะใด ลักษณะหนึ่ง ในอีกไม่นาน-ไม่ช้า...
ส่วน “บ้านเรา” ที่ “ความกลัวไวรัส” กำลังหวนกลับมาอย่างเป็นระบบและกิจการในทุกวันนี้ ก็ใช่ว่าจะปลอดเชื้อไปจาก “ไวรัล” ซะที่ไหน??? และสำหรับ “ไวรัล” เมืองไทยนั้น คงต้องขออนุญาต “เตือน” เอาไว้ซะแต่เนิ่นๆ ว่ามิอาจควรเผลอใดๆ โดยเด็ดขาด เพราะไม่ว่ามันจะมีพื้นฐาน มีสมมติฐานมาจากที่ไหน แบบไหน อย่างไร ก็เถอะ แต่การที่มันถูกหยิบไปใช้เป็น “เงื่อนไข” และ “เหตุปัจจัย” ถึงระดับคิดจะ “พลิกฟ้า-คว่ำดิน” เอาเลยนั้น คงต้องเร่งหันมาให้ความสนใจ ความระมัดระวังกันในทุกฝีก้าว นับตั้งแต่ช่วงปีหน้า-ฟ้าใหม่ เป็นต้นไป...