xs
xsm
sm
md
lg

ยามวิบัติ...คนเราอยู่ได้ด้วยความหวัง!!!

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท


สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราชฯ สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส
เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องขออนุญาตไปนำเอา “สิ่งดีๆ” หรือ “สิ่งที่เป็นมงคล”มาพูดถึง เอ่ยถึงกันเอาไว้มั่ง เพราะใกล้ๆ จะสิ้น “ปีเก่า” ต้องเริ่มต้น “ปีใหม่”กันในอีกไม่ช้า-ไม่นาน แม้ว่าไม่ว่าปีเก่าหรือปีใหม่ บรรดาชาวไทยและชาวโลกทั้งหลาย หนีไม่พ้นต้องชุลมุนวุ่นวายกับการออกฤทธิ์ ออกเดช ของเชื้อไวรัส “COVID-19” ท่าน ชนิดงอมพระรามกันไปเป็นรายๆ แต่ก็อย่างที่นักคิด นักปราชญ์รุ่นก่อนๆ ท่านเคยพูดๆ เอาไว้เป็นวาทะนั่นแหละว่า “In adversity a man is saved by hope.” หรือท่ามกลางความวิบัติฉิบหายทั้งหลาย อย่างน้อย “ความหวัง” ยังพอช่วยเป็นเครื่องปลอบประโลม หรือทำให้ใครๆ อาจพอรู้สึกอยู่รอดปลอดภัยขึ้นมาได้มั่ง...

โดย “สิ่งดีๆ”หรือ “สิ่งที่เป็นมงคล”ที่ว่านี้...คงหนีไม่พ้นไปจากต้องขออนุญาตไปนำเอา “คำพระ-คำเจ้า”ไม่ว่าจะเป็นพระไทย พระฝรั่ง มานำเสนอ พอให้เกิดความหวัง เกิดพลังใจ แม้แต่เล็กๆ น้อยๆ ก็ยังดี ซึ่งสำหรับ “พระไทย” นั้น ก็พอเป็นที่รู้ๆ กันอยู่แล้ว ว่า “สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก” ท่านได้ทรงออกมาประทานคำอำนวยอวยพร หรือ “คติธรรม”ไว้สั้นๆ แต่ย่อมเป็นอะไรที่ลึกซึ้ง หรือยิ่งคิด ยิ่งลึก เอามากๆ คือคำพูดจากพุทธภาษิตที่ว่า “สัพเพสัง สังฆภูตานัง สามัคคี วุฑฒิสาธิกา” โดยได้แปลเอาไว้เสร็จสรรพว่า “ความพร้อมเพรียงในหมู่ชน ยังความเจริญให้สำเร็จ”อันเนื่องมาจากก่อนหน้านั้น...ไม่รู้กี่ปี ต่อกี่ปีมาแล้ว ท่านได้ทรงออกมาย้ำนัก ย้ำหนา ถึงสิ่งที่เรียกว่า “ขันติธรรม” หรือความอดทน อดกลั้น ว่าถือเป็นพื้นฐานสำคัญเอามากๆ ต่อสิ่งที่เรียกว่า “สามัคคีธรรม” หรือต่อ “ความพร้อมเพรียงในหมู่ชน” และไม่ว่าสังคมไทย ประเทศไทย จะเป็น “ประเทศ...กูมี” หรือ “กูไม่มี”ก็แล้วแต่ อย่างน้อย...ก็น่าจะด้วย “ความอดทน-อดกลั้น”ในระดับหนึ่งนั่นแหละ ที่ทำให้บรรดาความขัดแย้งแตกแยกทั้งหลายในบ้านเราช่วงนี้ มันไม่ถึงกับต้องย้อนกลับไปสู่ “อดีตแห่งโศกนาฏกรรมครั้งประวัติศาสตร์” แบบประเภทหกตุลง หกตุลา อะไรไปโน่น แม้ว่าการ “หมิ่นประมาท”การเหยียดหยาม ละลาบละล้วง จ้วงจาบทุกวันนี้ อาจหนักหนาสาหัสซะยิ่งกว่าเมื่อ 40 กว่าปีที่แล้ว ไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า...

ส่วนสำหรับ “พระฝรั่ง” นั้น...เมื่อช่วงวันคริสต์มาส หรือช่วงวาระครบรอบวันประสูติของพระเยซู ตามการนิยามของพวกชาวคริสต์เขา สมเด็จพระสังฆราช หรือ “โป๊ป-ฟรานซิส”ประมุขสูงสุดทางจิตวิญญาณของชาวคาทอลิก ท่านก็ได้ทรงออกมาพูดจาว่ากล่าว ถึงสิ่งดีๆ เอาไว้มิใช่น้อย ไม่ว่าการเรียกร้อง วิงวอน ในสิ่งที่ออกจะเหมาะสม สอดคล้องกับสถานการณ์ความเป็นไปของโลกทั้งโลกในช่วงนี้ นั่นก็คือความสามารถในการ “เข้าถึงวัคซีน” ที่จะช่วยคุ้มครอง ป้องกัน บรรดาชาวโลก ไม่ว่ายาก ดี มี จน ไม่ว่าในประเทศเจริญแล้ว หรือยังไม่ถึงกับเจริญมากมายสักเท่าไหร่ ไม่ว่าจะเป็นผู้คนพลเมืองแท้ๆ หรือผู้ที่ถูกรังเกียจเดียดฉันท์ ถูกกีดขวาง กีดกัน เช่นบรรดาผู้อพยพ ผู้หลบหนีเข้าเมืองทั้งหลาย รวมทั้งยังได้กล่าวเลยไปถึง “ชะตากรรม” ของผู้คนในประเทศที่กำลังถูกพิษร้าย จากสิ่งที่เกิดขึ้นจากฝีมือมนุษย์ด้วยกันเอง ไม่ใช่แค่ “เชื้อโรค” จากที่ไหน ต่อที่ไหน นั่นก็คือผู้ที่ต้องเจ็บปวดรวดร้าวทรมานจาก “ภัยสงคราม”ชนิดที่ “ทุกใบหน้าของพวกเขา...กระทบต่อจิตสำนึกเบื้องลึกของมนุษย์ทุกคนที่ยังคงหลงเหลือความปรารถนาดี” ให้ต้องหันมาคิดถึงความสำคัญแห่งการสร้าง “สันติภาพ” ขึ้นมาในอนาคตเบื้องหน้า...

ทรงได้ตั้งจิตอธิษฐาน สวดภาวนา ขอให้ช่วงวาระวันเกิดของพระเยซูคริสต์ กลายเป็นแรงบันดาลใจให้มวลมนุษย์ทั้งหลายเกิด “ความใจดี-มีเมตตา พร้อมสนับสนุนการช่วยเหลือผู้อื่น” โดยเฉพาะผู้ที่กำลังต้อง “จ่ายราคาแพง”เอามากๆ ไม่ว่าผู้ชาย ผู้หญิง คนแก่ คนชรา ไปจนถึง “เด็กตาดำๆ”ให้กับพิษภัยสงคราม ไม่ว่าในซีเรีย อิรัก หรือเยเมน ฯลฯ ก็ตาม ที่คงต้องยอมรับเอาจริงๆ นั่นแหละว่า ล้วนแต่เจ็บปวดรวดร้าว ทรมานกันมาโดยตลอด โดยเฉพาะในเยเมนนั้น เมื่อแค่เดือน-สองเดือนที่ผ่านมานี่เอง ขณะที่ตัวเลข สถิติจำนวนผู้ขาดอาหาร น้ำดื่ม ยารักษาโรค ตามการคาดคำนวณของสหประชาชาติ หรือของผู้อำนวยการโครงการอาหารโลก (World Food Programme) อย่าง “นายDavid Beasley”สรุปเอาไว้ว่า น่าจะไม่น้อยไปกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนประชากรทั้งประเทศ หรือนับเป็นสิบๆ ล้านขึ้นไป ถือเป็นภาวะการขาดอาหารครั้งที่ใหญ่ที่สุดของโลก เป็น “โศกนาฏกรรมครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ” นับจากสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา แต่จำนวน “เงินช่วยเหลือ”หรือการบริจาคให้กับการคลี่คลายปัญหาดังกล่าว กลับลดลงๆ ไม่น้อยกว่าครึ่งของเท่าที่เคยเป็นมา อันอาจเนื่องมาจากบรรดาประเทศ “มหาอำนาจ” ยักษ์ใหญ่ อย่างคุณพ่ออเมริกา ท่านอาจไม่ค่อยชอบขี้หน้าองค์การระหว่างประเทศเหล่านี้ ในเรื่องโน้น เรื่องนี้ หรือไม่ อย่างไร ก็มิอาจสรุปได้...

แต่ก็นั่นแหละ...การแสดงออกถึง “ความใจร้าย-ไร้เมตตา ไม่กระตือรือร้นในการช่วยเหลือผู้อื่น” ก็ยังไม่ถึงกับน่าเกลียด น่าทุเรศจนเกินไป เมื่อเทียบกับ “ความเหี้ย...ย์ย์ย์มม์ม์ม์” แบบชนิด “ม.ม้า” แทบวิ่งไล่ไม่ทัน ของรัฐบาลอเมริกันยุคนี้ ที่ใกล้จะถึงเวลาต้องสะบัดตูด สะบัดทวารออกจากทำเนียบขาว อีกไม่ทิวาราตรีที่จะถึง คือไม่ใช่แค่ไม่คิดจะช่วยเหลือ เฟือยฟาย บรรดาผู้ที่ตกทุกข์ได้ยาก อย่างที่สมเด็จพระสังฆราช หรือ “โป๊ป” ท่านได้ขอร้อง วิงวอน ได้สวดภาวนาไว้แล้ว เมื่อช่วงวันอังคาร (22 ธ.ค.) ที่ผ่านมานี่เอง แม้เหลือเวลาดำรงตำแหน่ง “ประธานาธิบดี” อีกแค่ไม่กี่วันเท่านั้นเอง ผู้ที่บ้าสุดบ้า อย่าง “ทรัมป์บ้า” ก็ได้ตัดสินใจอนุมัติการ “ขายอาวุธ” ล็อตใหญ่อีกล็อต ให้กับรัฐบาลซาอุดีอาระเบีย มูลค่า 478 ล้านดอลลาร์ เพื่อเอาไว้ใช้ยิง ใช้ฆ่า ใช้พร่าผลาญสังหารผู้คนในเยเมน โดยสั่งซื้อจากบริษัท “Raytheon” บริษัทผลิตอาวุธที่ว่าที่รัฐมนตรีกลาโหมรายใหม่ของ “ผู้เฒ่าโจ”“พลเอกLloyd Austin” เคยนั่งดำตำแหน่งอยู่ในฐานะ “บอร์ดบริหาร” มาก่อนหน้านี้ นั่นแล...
คือพูดง่ายๆ ว่า...เพียงแค่ไม่คิดจะส่งอาหาร น้ำดื่ม ยารักษาโรค หรือส่งเงินบริจาคช่วยเหลือให้เป็นก้อน เป็นกำ เหมือนก่อน ก็ต้องถือว่า “เหี้ย...ย์ย์ย์มม์ม์ม์” พอสมควรแล้ว แต่นี่...ยังดันส่งระเบิด อาวุธยุทโธปกรณ์ไปให้กับบรรดาอาชญากรสงครามได้แบบหน้าตาเฉย ทั้งๆ ที่ใกล้จะหมดอำนาจ หมดวาระการเป็นประธานาธิบดีแค่อีกไม่กี่วันเท่านั้นเอง แต่ที่หนักยิ่งไปกว่านั้น...จะด้วยเหตุผลกลใดก็มิอาจทราบได้ จู่ๆ...บรรดาพวก “ฆาตกรสงคราม”อย่างพวกนักรบรับจ้างแห่งบริษัทที่ปรึกษาความปลอดภัยของชาวอเมริกัน หรือบริษัท “Blackwater Security Consulting” ที่เคยก่อคดีสังหารโหด บรรดาชาวอิรักผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ. 2007 จำนวน 5 รายด้วยกัน ก็ได้รับการ “อภัยโทษ” โดยคำสั่งประธานาธิบดี “ทรัมป์บ้า” ซะเฉยเลย!!!

คือความเป็น “ฆาตกร”ของพวก “Blackwater”ทั้ง 5 รายนั้น...เป็นที่รับรู้ รับทราบกันดีในหมู่ชาวอิรักและชาวอเมริกันทั้งหลาย อันเนื่องมาจากการก่อคดีสังหารโหดพลเรือนผู้บริสุทธิ์ไม่ต่ำกว่า 17 ราย บาดเจ็บอีกไม่น้อยกว่า 20 ระหว่างที่กำลังทำหน้าที่คุ้มกันขบวนรถของสถานทูตอเมริกัน ผ่านจัตุรัสกลางเมืองประเทศอิรัก ที่ถูกเรียกขานในนาม “Nisour Square Massacre”นั่นเอง ด้วยอาการ “ประสาท” คิดว่าจะถูกชาวอิรักซุ่มโจมตี เลยกราดยิง ซุ่มยิง แถมขว้างระเบิดไม่รู้กี่ลูกต่อกี่ลูก เข้าใส่บรรดาพลเรือนกลางจัตุรัส แม้แต่เด็กเล็กๆ ยังเด๊ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะเท่งทึง ตามไปด้วย จนถูกศาลสหรัฐฯ ตัดสินพิพากษาให้ชดใช้ความผิดด้วยการติดคุกระดับตลอดชีวิตก็ยังมี แต่จู่ๆ “ทรัมป์บ้า” ดันอภัยโทษ นิรโทษกรรมแบบสุดซอยกันเห็นๆ...

ด้วยเหตุนี้...ก็คงแทบไม่ถึง “ชะตากรรม” ของบรรดามนุษย์ที่ล้มตายไปแล้วใน “สงครามอิรัก” ปี ค.ศ. 2003 ที่องค์กรอย่าง “ORB”(Opinion Research Business) เคยคำนวณเอาไว้ถึงขั้น ไม่น่าจะน้อยกว่า 1,033,000 คนขึ้นไป ชาวซีเรียอีกไม่รู้กี่แสน กี่ล้าน รวมทั้งชาวเยเมนที่ตายไปแล้วเป็นหมื่นๆ แสนๆ และอาจตายไปอีกเป็นล้านๆ ในอีกไม่ใกล้-ไม่ไกล โดยบรรดาเราๆ-ทั่นๆ ผู้ที่ยังคงนับถือ “ศาสนา” หรือยังพอหลงเหลือ “ความใจดี-มีเมตตา พร้อมจะช่วยเหลือสนับสนุนผู้อื่น” คงหนีไม่พ้นต้องพยายามอธิษฐานและสวดภาวนา เอาไว้ให้จงหนักนั่นแหละ ทำไงได้...ในเมื่อ “ในยามวิบัติ...คนเราจะอยู่ได้ด้วยความหวัง”นั่นแล...




กำลังโหลดความคิดเห็น