xs
xsm
sm
md
lg

ตามหาคนหาย! “เพจดัง” รอ “ทอน” แถลง “เรือยอชต์” 3 วันแล้ว แฉ “ทุจริตร้ายแรง” ปมวิทยานิพนธ์ “อ้างอิงเท็จ”

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ภาพ จาก เฟซบุ๊ก Arnond Sakworawich ของ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์
“ทอน” สบายดีหรือ? เพจดัง-ดร.อานนท์ ประสานเสียง ตามหา “คนหาย” ระบุ 3 วันแล้วที่รอแถลงข่าว “เรือยอชต์” “กูรู” ชี้ชัด สร้างนิยายสถาบันฯแทรกแซงการเมือง “ปมวิทยานิพนธ์อ้างอิงเท็จ” ถือว่าเข้าข่ายทุจริตร้ายแรง ทางวิชาการ?

น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (27 ธ.ค. 63) เพจเฟซบุ๊ก The METTAD โพสต์ข้อความพร้อมแชร์ภาพ เฟซบุ๊ก Arnond Sakworawich ระบุว่า

“อาจจะหลบหายไป ไม่ต้องตามหา 🎵🎵”

ภาพ จาก เฟซบุ๊ก Arnond Sakworawich ของ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์
ขณะดัยวกัน เฟซบุ๊ก Arnond Sakworawich ของ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒน บริหารศาสตร์ (NIDA) โพสต์ข้อความพร้อมภาพอีกชุดหนึ่งว่า

“มาจากไลน์ครับ”

ภาพ จากเพจเฟซบุ๊ก ซึ่งต้องพิสูจน์
ไม่เพียงเท่านั้น เพจเฟซบุ๊ก ซึ่งต้องพิสูจน์ โพสต์ข้อความระบุว่า

“ผ่านไป 3 วันเเล้ว
“ธนาธร” ที่บอกว่า “พร้อมจะเป็นนายกฯ”
เเล้วพร้อมที่จะชี้แจง เรื่องเรือยอชต์ หรือยัง ?

แอดมินเป็นคนที่ชอบให้เวลา และให้โอกาสคนครับ
ดังนั้น เมื่อในวันแรก เมื่อมีข่าวไฟไหมเรือยอชต์ ของ ธนาธร และ ผู้มีรายชื่อคนอื่นๆ

ทางแอดมินจึงไม่ได้นำเสนอประเด็นนี้ในเพจเลย ประกอบกับ แอดมินยังไม่รู้ ไม่ชัดเจน ที่มาที่ไปของเรือยอชต์ลำนี้

แต่นี่ผ่านไป 3 วันแล้ว เริ่มมีความชัดเจนในหลายๆ กรณี เช่น กรณีผู้ที่มีชื่อในเรือยอชต์ลำนี้ ว่ามีใครบ้าง
เป็นตัวธนาธร เป็น น้องธนาธร และเป็นคนที่มีชื่อเคยเป็นกรรมการของบริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ที่มีคดีเรื่องสำนักงานทรัพย์สินฯ

ซึ่งก็คือ นายเสวก ประกิจฤทธานนท์ ที่มีรายชื่อถือหุ้นเจ้าของเรือยอชต์

เคยเป็นกรรมการ ของบริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ที่มีคดีสำนักงานทรัพย์สินฯ ในช่วง 25 ม.ค. 62 - 29 พ.ค. 62
อ้างอิง ข้อมูล https://www.isranews.org/.../94162-investigative0096.html

ทั้งนี้ ในกรณี “สกุลธร” ในคดีที่ดินสำนักงานทรัพย์สินฯ ใช้เวลาประมาณ 10 กว่าวัน ถึงวันมีการออกเอกสาร PRESS RELEASE ให้สื่อ

แล้ว ในกรณีเรือยอชต์ “ธนาธร” จะใช้เวลากี่วัน ในการออกมาชี้แจง ?
ไทมไลน์ กรณี “สกุลธร” มีดังนี้

- 2 ธ.ค. ส.ว. สมชาย เเสวงการ ออกมาโพสต์คำพิพากษาคดีนี้
- 9 ธ.ค. อัยการแถลง
- 16 ธ.ค. สกุลธร ออกเอกสาร PRESS RELEASE”

ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เฟซบุ๊ก Arnond Sakworawich ของ ดร.อานนท์ ยังโพสต์เกี่ยวกับวิทยานิพนธ์ที่เป็นกระแสอยู่ในเวลานี้ว่า อ้างอิงเท็จหรือไม่ ว่า

“กลับดำเป็นขาว กลับขาวเป็นดำ ณัฐพล จริงใจ”

ภาพ จากเฟซบุ๊ก Arnond Sakworawich ของ ดร.อานนท์
โดยแชร์โพสต์ของ Wathin Chatkoon ที่โพสต์เอาไว้ว่า

วิธี “อ่าน” และ “วิจัย” โดยทุจริต กรณีอ้างอิงเท็จของณัฐพล ใจจริง
//////
นี่คือหลักฐาน (1 ใน 2 ชิ้น) ที่ณัฐพลเอามาอ้างว่า กรมขุนชัยนาทฯ (ผู้สำเร็จราชการฯ) ไปนั่งร่วมประชุม ครม. จอมพล ป. คือจะแสดงว่า สถาบันแทรกแซงการเมือง มาแต่ไหนแต่ไร

เลยสงสัยว่า “วิธีอ่าน” ของณัฐพล (รวมถึง นักวิชาการล้มล้าง อย่าง ธงชัย ปิยบุตร ประจักษ์ ฯลฯ) เป็นอย่างไร

เพราะอ่านแบบชาวบ้าน พาดหัวของ Bangkok Posts ก็อ่านได้ว่า “นายกฯอาจไปนั่งร่วมประชุมองคมนตรี”

ซึ่งในทางประเด็นข่าว นสพ.พาดหัวแบบนี้ ก็แสดงว่า “มีเหตุการณ์ไม่ปกติ” แน่ๆ เพราะถ้าไม่มีจอมพล ป.คงไม่ออกมาพูดล้ำเส้นแบบนี้

แต่เรื่อง “ผิดปกติ” นี้ จะอ่านว่า จอมพล ป.ใช้อำนาจก้าวล่วงสถาบันพระมหากษัตริย์ ก็ได้ หรือหากเอามาพาดหัวใหม่แบบสมัยนี้ก็คงได้ว่า

“ป.เหิม โชว์กร่าง ขอเข้าร่วมประชุมองคมนตรี”

แน่นอน มันก็คิดได้นั่นแหละ ว่าอาจมี “เรื่อง” ที่ทำให้จอมพล ป.ไม่พอใจอย่างมากจริง

แต่ระหว่างการอ่านว่า “จอมพล ป.เหิมเกริม” กับ การอ่านว่า “กรมขุนชัยนาทฯแทรกแซงการเมือง” อย่างหลังแม้จะคิดได้ แต่กว่าจะไปถึงได้ก็ต้องอ้างอีกหลายต่อหลายทอด เช่น

ก) จอมพล ป. ไม่พอใจ องคมนตรี
ข) องคมนตรี ต้องทำอะไร “บางอย่าง”
ค) อะไร “บางอย่าง” นั้น จอมพล ป. ต้องถือว่าละเมิดอำนาจของตน ชนิดที่ตนต้องเอาคืน

ซึ่งอะไร บางอย่าง อาจจะหมายถึงอะไรก็ได้ เพราะไม่มีใครรู้ เกิดไม่ทันกันหมด แต่ณัฐพลมาบอกว่า
ง) ผู้สำเร็จฯเข้าไปนั่งประชุม ครม.
อันจะนำไปสู่ข้อสรุปว่า
จ) สถาบันแทรกแซงการเมือง

ซึ่งข้อ ง) ถ้าไชยันต์ (ศาสตราจารย์ ไชยันต์ ไชยพร เป็นอาจารย์ประจำภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) ไม่พบหลักฐานว่า “มั่ว” การสร้างข้อเท็จจริงโดยทุจริตของณัฐพลก็คงไม่มีใครรู้
เพราะไม่ปรากฏ “ข้อเท็จจริง” ที่สามารถอ้างอิง ง) ได้ว่าเป็นจริง ซึ่งณัฐพลก็ยอมรับ

หากคิดด้วยวิธีวิทยาศาสตร์ ด้วยหลัก “ใบมีดโกนของอ็อคคัม” ระหว่าง “จอมพล ป.เหิมเกริม” กับ “กรมขุนชัยนาทฯแทรกแซง” สมมติว่ายังไม่พบหลักฐานเอาผิดอย่างหลังก็ต้องถูกตัดทิ้ง เพราะเป็นการอธิบายที่ซับซ้อนกว่า ยุ่งยากกว่า

การยอมรับผิดของณัฐพล บ่งชี้ว่า “วิธีอ่าน” ข้อมูลของณัฐพลนั้นทุจริต

เป็นไปได้ที่ณัฐพลอาจได้ยินข้อมูลนี้มาจากใครสักคน (คงเป็นพวกเดียวกัน) ที่หาหลักฐานอ้างอิงไม่ได้ ข้อมูลที่ว่าจึงเป็นข้อมูลประเภท gossip

ตัวเขาไม่แยกข้อมูล gossip ออกจากข้อเท็จจริง ซึ่งเรื่องประเภท gossip หรือ เขาเล่าว่า กับ ข้อมูล ข้อเท็จจริง ในทางวิชาการมันมีเส้นแบ่งที่ชัดโดยเฉพาะเมื่อมีการนำมาอ้างอิง ซึ่งไม่รู้ว่า ณัฐพลไร้ความสามารถหรือเจตนาอยู่แล้ว
ถ้านักวิชาการแยกตรงนี้ไม่ออก งานวิชาการก็ไม่ต่างอะไรกับ นวนิยาย

ยกตัวอย่างเช่น นิยายเรื่อง Davinci Code

นิยายเรื่องนี้นำข้อมูลมาจาก non-fiction เรื่อง Holy Blood Holy Grail แต่คนเขียน non-fiction ก็อ้างแค่ว่า มีปริศนาเรื่องนักบวชบ้านนอกคนหนึ่ง ที่ร่ำรวยขึ้นชั่วข้ามคืนเพราะอาจรู้ “ความลับ” ของศาสนจักร ที่เหลือก็คือ การคาดเดาหรือพยายามจะหาคำอธิบายของคนเขียนเองว่าความลับนั้นอาจเกี่ยวข้องกับ กลุ่มนิยายเร้นลับกลุ่มหนึ่งที่เชื่อว่า พระเยซูไม่ตายบนไม้กางเขนและมีทายาทสืบต่อมา ประเด็นก็คือ นักบวชคนนั้นไม่เคยพูดว่า ความลับของตนคืออะไร หรือกระทั่งมีความลับอย่างที่ว่านั้นจริงหรือไม่?

แต่ทั้ง Holy Blood Holy Grail หรือ Davinci Code ก็ชัดเจนว่า จะปั้นน้ำเป็นตัวกันขนาดไหน ก็ไม่ใช่งานวิชาการที่ใครจะเอามาอ้างอิงอย่างจริงจัง

นั่นไม่นับ “วิธีทำงานวิจัย” ของ ณัฐพล ที่ตั้งธง จ) ว่าสถาบันฯแทรกแซงอยู่ก่อนแล้ว และทำทุกอย่างกลับตาลปัตรคือไปหา whatever มาเพื่อสนับสนุน ธง ที่ตนตั้งไว้

ทุจริตแบบนี้สมควรถือว่า เป็นเรื่องร้ายแรงมากในทางวิชาการ

ภาพ จากเฟซบุ๊ก Wathin Chatkoon
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. เวลา 02:28 น. เฟซบุ๊ก Wathin Chatkoon โพสต์หัวข้อ “วิทยานิพนธ์ลวงโลก นักวิชาการล้มล้าง นิตยสารล้มเจ้า ทำกันเป็นขบวนการ”

โดยระบุว่า “ไชยันต์ ไม่ได้ มโน เขาก็ทำในสิ่งที่จรรยาบรรณนักวิชาการควรต้องทำ

แต่พวกมึงนั่นแหละ เลว

ประเด็นมันไม่ใช่แค่เรื่องหนังสือเล่มนี้ (ซึ่งจากที่ ธงชัย เขียนคำนำก็ยอมรับอยู่แล้วว่ามีเรื่องผิดพลาด) แต่อยู่ที่ความพยายามที่จะสร้าง “เอกสาร” หรือ “แหล่งอ้างอิง” อันดูมีความน่าเชื่อถือทางวิชาการ ให้กับขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อล้มล้าง เปลื่ยนแปลง สถาบันพระมหากษัตริย์ โดยขยายบริบทการเผยแพร่จากวงวิชาการแคบๆ (ที่ไม่มีใครอ่าน) ให้ไปสู่สาธารณะ หรือการเคลื่อนไหวบนท้องถนน (หนังสือเล่มนี้ถูกพูดถึงโดยแกนนำม็อบ หรือ กลุ่มนักเรียนชู 3 นิ้ว)

โดยการ mix and match ข้อมูลจริงบางส่วน มาผสมปนเปกับ ข้อมูลประเภทเขาเล่าว่า แล้วเขียนชี้ชวนให้ half-truth ดูเป็น all-truth

ง่ายๆ ก็ให้นึกถึงกรณีล่าสุดที่ ไอ้เพนกวิน อีปวิน ไปอ้างข่าว gossip ว่า ในหลวง ร.7 จะขายพระแก้วมรกตจากหนังสือแท็บลอยด์ฝรั่งมาเป็นตุเป็นตะนั่นแหละ

เรื่อง ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ไปนั่งประชุม ครม.แทนนายกฯ นั่นคือ ข้อกล่าวหาที่ใหญ่มาก

แต่ไม่น่าเชื่อว่า เรื่องใหญ่แบบนี้ ถ้าแหกตา นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ได้ จนเซ็นอนุมัติให้จบมาได้ ต้องถือว่า แล้วชาวบ้านจะเอาอะไรไปบอกว่าตรงไหนที่เป็นจริง ตรงไหนที่คนเขียนมั่วขึ้นมาเอง

ขณะที่วิทยานิพนธ์เล่มนี้ถูกระงับเผยแพร่ แต่ก็สามารถโหลดมาอ่านได้ตั้งนานแล้วก่อนจะมาพิมพ์ด้วยซ้ำ คำสั่งบัณฑิตวิทยาลัยไม่มีราคาอะไรเลย

ประเด็นคือ ถ้าไม่มี ไชยันต์ ไชยพร กู ผม คุณ มึง ทั้งหลายก็คงไม่รู้ว่า มีลูกมั่ว เละตุ้มเป๊ะ กันตั้งแต่ในมหาวิทยาลัย มาจนถึง สำนักพิมพ์...

ง่ายๆ ก็คือ การสร้าง โปรพาเกนด้า ที่ดูเป็นวิชาการ โดยการใช้กระบวนการของราชการในระบบอุดมศึกษามารองรับ เพื่อกร่อนเซาะทำลาย สั่นคลอนความคิด ความเข้าใจเกี่ยวกับรัฐและสถาบันพระมหากษัตริย์ลงอย่างช้าๆ

คำถามคือ มีตรงไหน เล่มไหน คนไหน อีกที่ใช้วิธีการโกหกทางวิชาการแบบเดียวกันนี้

เรื่องที่ ไชยันต์ เปิดโปง มันใหญ่โตกว่าข้อผิดพลาดในหนังสือเล่มเดียว เลยต้องออกมาแก้ตัวแล้วรีบดิสเครดิตไชยันต์ ก่อนจะฉิบหายกันมากกว่านี้

เพราะอาจต้องรื้อ ทบทวน ตรวจสอบ กันทั้งระบบหรือเปล่าครับ อาจารย์ อเนก”

แน่นอน, สิ่งที่น่าสนใจก็คือ ถึงคิว “ทอน” ถูกตรวจสอบบ้าง หลังจากก่อนหน้านี้ ทรงพลังถึงขั้นปลุกม็อบเยาวชนปลดแอก ลงถนนได้ และกลายมาเป็น ม็อบคณะราษฎร 2563 อย่างแหลมคม ในการเรียกร้อง “ปฏิรูปสถาบัน”

คราวนี้ก็อย่างที่หยิบยกมาให้เห็น และแม้แต่เรื่องใหญ่ระดับการสร้างประเด็นทางวิชาการ ก็ยังถูกตรวจสอบเช่นกัน นั่นคือ ปมวิทยานิพนธ์อ้างอิงเท็จหรือไม่ ซึ่งสำนักพิมพ์ “ฟ้าเดียวกัน” ตีพิมพ์เป็นหนังสือ “ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี” และเป็นที่ทราบกันดีว่า “ฟ้าเดียวกัน” มีใครเป็นนายทุนอยู่เบื้องหลัง

เมื่อเป็นเช่นนี้ ถือว่า เป็นโอกาสดี ที่ฝ่ายถูกกล่าวถึง กล่าวหา จะได้ทำความโปร่งใสให้เกิดขึ้น เพราะความจริงก็คือ ความจริงวันยังค่ำ ยิ่งหนีก็ยิ่งชัดเจนว่า ถูกความจริงไล่ล่า และสุดท้ายความเสื่อมจะตามมา ถ้าปล่อยให้เรื่องเงียบไปเอง

คงไม่คิดว่า เรื่องเหล่านี้ ถูกกลั่นแกล้ง หรือ เผด็จการสั่งมา เหมือนอย่างเคย หรือว่าใช่?


กำลังโหลดความคิดเห็น