อาจด้วยเหตุเพราะดันเผลอไปอ่านข้อเขียน บทความ นักวิชาการชาวไต้หวันรายหนึ่ง “Dr.Ying-Yu Lin” ผู้ช่วยศาสตราจารย์สถาบันยุทธศาสตร์และกิจการระหว่างประเทศ แห่งมหาวิทยาลัย “Chung Cheng University” ว่าด้วยเรื่อง “China’s Military Actions Against Taiwan in 2021: What to Expect” โดยออกอาการเอะอะมะเทิ่งไว้ในเว็บไซต์นิตยสาร “The Diplomat” เมื่อช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา (18 ธ.ค.) วันนี้...เลยหนีไม่พ้นคงต้องลองหันไปสำรวจตรวจสอบ แนวรบที่สาม หรือ “แนวรบด้านทะเลจีนใต้” กันอีกสักตั้ง...
คือ “Dr.Ying-Yu Lin” ที่ว่านี้...ท่านออกจะเชื่อ หรือหนักไปทาง “คิดเอง-เออเอง” ประมาณว่าโอกาสที่จีนแผ่นดินใหญ่ อาจคิดบุกเกาะเล็กๆ อย่างไต้หวันด้วยกำลังทหาร ภายในปีหน้า หรือปี ค.ศ. 2021 นั้น น่าจะมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ โดยอ้างอิงถึงเหตุผลสารพัด สารพัน อ้างคำพูด คำจาของท่านประธาน “เหมา เจ๋อตง” ไปจนปรมาจารย์ด้านพิชัยสงคราม อย่างซุนหว่ง ซุนหวู่ โน่นเลย แต่สิ่งที่ทำให้ข้อเขียน บทความดังกล่าว ออกจะ “เบา” แบบโหวงๆ เหวงๆ หรือหนักไปทาง “คิดเอง-เออเอง” อะไรทำนองนั้น ก็เนื่องจากบรรดาข้อสมมติฐาน ข้อวิเคราะห์ทั้งหลายทั้งปวงนั้น ผูกติดอยู่กับเรื่องของจีนแผ่นดินใหญ่และไต้หวันเพียงลำพังล้วนๆ ไม่ได้คิดจะหันไปมองสภาพแวดล้อมอื่นๆ หรือไม่ได้ที่จะนำเอาความเป็นไปของโลก มาเป็นองค์ประกอบในการชั่งน้ำหนัก หรือการชี้วัดตัดสินใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย...
ทั้งๆ ที่ว่าไปแล้ว...โดยสภาพแวดล้อม หรือโดยความเป็นไปของโลกในทุกวันนี้ เหตุที่คุณพี่จีนท่านสามารถมีวันนี้ มาถึง ณ จุดนี้ หรือถึงช่วงที่ใกล้จะผงาดขึ้นเป็น “มหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับ 1 ของโลก” ในอีกไม่ใกล้-ไม่ไกล หรือไม่น่าจะอีกกี่ปีนับจากนี้ ก็คงด้วยเหตุเพราะขีดความสามารถในการใช้พลังอำนาจทางเศรษฐกิจ หรือจะเรียกว่า “พลังอำนาจอย่างอ่อน” (Soft Power) ก็คงพอได้ ในการลอดเลื้อย โอบกระหวัด รัดพัน ใครต่อใครตามแบบฉบับ “พญามังกร” ไม่ว่าในเอเชียตะวันออก เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียใต้ ไปจนแอฟริกา ยุโรป และละตินอเมริกา อันเป็นไปตามความคิดริเริ่มที่เรียกว่า “Belt and Road Initiative” อะไรประมาณนั้น รวมทั้งขีดความสามารถการทำให้คนยาก คนจนภายในประเทศ สามารถก้าวข้ามเส้นมาตรฐานความยากจน กลายมาเป็นชนชั้นกลางระดับล่าง หรือระดับใดๆ ก็แล้วแต่ จนทำให้ “พลังแห่งการบริโภค” ภายใน กลายเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ขับเคลื่อนจีดีพีแบบชนิดแทบไม่ออกอาการ “หัวตก” เอาง่ายๆ ฯลฯ...
ขณะที่ประเทศ “คู่แข่ง” หรือจะเรียกว่า “คู่กัด” ก็ตามที...อย่างคุณพ่ออเมริกา ที่สามารถโดดเข้ามาช่วยไต้หวันได้ทันท่วงที หรือไม่ทันท่วงทีก็แล้วแต่ ถ้าหากต้องเจอการบุกด้วยกำลังทหารจากแผ่นดินใหญ่ คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้ว่า กลับเป็นประเทศที่ได้สูญเสีย “พลังอำนาจอย่างอ่อน” ไม่ว่าในทางการเมือง การทูต หรือในทางเศรษฐกิจ ชนิดเสื่อมแล้ว เสื่อมเล่า โดยเฉพาะช่วงตลอด 4 ปี ของ “ทรัมป์บ้า” ผู้ซึ่งเต็มไปด้วยขีดความสามารถในการทำให้ “มิตร” หนีไม่พ้นต้องกลายเป็น “ศัตรู” รายแล้ว รายเล่า ดังนั้น...ไม่ว่าคิดจะฟื้นฟูพลังอำนาจทางเศรษฐกิจในลักษณะไหนก็แล้วแต่ โอกาสที่จะเจอกับทางออก ทางไป หรือ “ทางรอด” นั้น ค่อนข้างน้อยเอามากๆ ไม่ว่าจะโดยฝีมือ ฝีตีน ของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ “FED” หรือโดยแนวคิด แนวนโยบาย ของว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ อย่าง “ผู้เฒ่าโจ” ถึงแม้ตัดสินใจแต่งตั้ง “นางเจเน็ต เยลเลน” อดีตประธานธนาคารกลาง มานั่งเก้าอี้รัฐมนตรีคลังคนใหม่ไปแล้วก็เถอะ...
คือแค่คิดจะโดดเข้ามาร่วมวง “CPTPP” (Comprehensive and Progressive Agreement for Tran-Pacific Partnership) กับญี่ปุ่น เพื่อไม่ให้โดดเดี่ยว หรือไม่ให้ถูกทอดทิ้งโดย “RCEP” (Regional Comprehensive Partnership Agreement) อันประกอบด้วยประเทศอาเซียนบวก 5 โดยมีคุณพี่จีนเป็นหัวหอกสำคัญ ก็น่าจะเอ้อเร้อเอ้อเต่ออยู่พอสมควรทีเดียว โดยเฉพาะเมื่อผู้นำจีน อย่างประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง”ท่านได้ชิงตัดหน้า เสนอตัวที่จะเข้าร่วมกับ “CPTPP” ไปก่อนหน้านั้นแล้ว หรือคิดจะขยายเครือข่าย ขอบเขตของ “APEC” (Asia-Pacific Economic Cooperation) อย่างที่นักวิชาการบ้านเราเดาๆ ไว้ก่อนล่วงหน้า ชนิดหวังจะทำให้นโยบายต่างประเทศอเมริกายึดโยงอยู่กับการเติบโต ฟื้นตัวของชนชั้นกลางอเมริกันไปโน่นเลย ยังไงๆ...ก็น่าจะ “ลำบาก” อีกนั่นแหละ เพราะโดย “ไส้ใน” ของระบบเศรษฐกิจอเมริกา ไม่ว่าปัญหาหนี้สินที่มากล้นพ้นตัว ไปจนความเสื่อมค่าของ “เงินดอลลาร์” อย่างมีนัยสำคัญ ฯลฯ ล้วนทำให้ทางออก ทางไป ทางรอด ออกจะติดๆ ขัดๆ ไปด้วยกันทั้งสิ้น...
ด้วยเหตุนี้...หนทางเท่าที่เหลืออยู่ ของคุณพ่ออเมริกานับจากนี้ ย่อมหนีไม่พ้นต้องหันไปหา “จุดแข็ง” ของตัวเอง หันไปงัดเอา “พลังอำนาจอย่างแข็ง” (Hard Power) หรือ “พลังอำนาจทางทหาร” นั่นแหละ ออกมาใช้งัดข้อ ต่อรอง หรือกดดันฝ่ายตรงข้ามไม่ว่าจะเป็น “คู่แข่ง” “คู่กัด” เป็น “ภัยคุกคาม” หรือไม่ เพียงใดก็ตามที อันเป็นสิ่งที่ถูกออกแบบ และดีไซน์ ภายใต้ความเป็น “ลัทธิจักรวรรดินิยม” มาโดยตลอด และบรรดาสิ่งเหล่านี้นี่เอง...ที่ประเทศซึ่งใกล้จะเป็น “มหาอำนาจอันดับ 1 ทางเศรษฐกิจ” อย่างคุณพี่จีน ท่านพยายามประคับประคองตัวเองไม่ให้เผลอไปเข้าทางเท้า เข้าทางตีน คุณพ่ออเมริกามาโดยตลอด หรือไม่พยายามก่อให้เกิด “เงื่อนไข” และ “ข้ออ้าง” ใดๆ ที่จะทำให้ประเทศ “เครื่องจักรกลแห่งการสังหาร” อย่างอเมริกา สามารถหยิบมาใช้ในการ “ลั่นกระสุนนัดแรก” ได้โดยเด็ดขาด!!!
ดังนั้น...ถ้ามองจากสภาพแวดล้อม หรือความเป็นไปของโลก โอกาสที่พญามังกรคิดจะใช้กำลังทหาร “บุกไต้หวัน” ในปีหน้า หรือปี ค.ศ. 2021 ตามที่ “Dr.Ying-Yu Lin” ท่านเอะอะมะเทิ่ง เอาไว้ในข้อเขียน บทความดังที่กล่าวไปแล้ว จึงน่าจะออกไปทาง “คิดเอง-เออเอง” ซะเป็นหลัก เพราะว่าไปแล้ว...มันยังมี “กรรมวิธี” อีกเยอะแยะมากมาย ที่จะทำให้เกาะเล็กๆ แห่งนี้ สามารถกลับมารวมกันภายใต้เอกภาพและบูรณภาพแห่งความเป็น “หนึ่งประเทศ-สองระบบ” ได้อย่างเป็นจริง-เป็นจัง โดยเฉพาะถ้าหากสภาพแวดล้อมและความเป็นไปของโลก เกิดการ “เปลี่ยนแปลง” ไปในแนวที่ 2 หุ้นส่วนยุทธศาสตร์ อย่างจีนและรัสเซีย ปรารถนาและต้องการมาโดยตลอด นั่นก็คือ...การไม่ถูกควบคุมและครอบงำโดย “เผด็จการดอลลาร์” และการได้มาซึ่ง “ระเบียบโลกแบบใหม่” ที่ผู้นำจีนอย่างประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” เคยให้คำอธิบายไว้ในระหว่างการประชุมช่วงครบรอบ 95 ปีพรรคคอมมิวนิสต์จีน (1 ก.ค. 2016) ดังต่อไปนี้...
“ระเบียบโลก...ที่ไม่ควรต้องถูกตัดสินวินิจฉัยโดยประเทศใด ประเทศหนึ่ง หรือแค่กลุ่มประเทศไม่กี่ราย แต่ควรมีที่มาจากรูปคณะกรรมการซึ่งเกิดขึ้นบนข้อตกลงนานาชาติ ประชาชนของทุกประเทศควรได้มีส่วนร่วมในการตัดสินวินิจฉัยว่า ระเบียบระหว่างประเทศและการบริหารจัดการโลก จะสามารถยังประโยชน์ให้กับโลกและประชาชนในทุกประเทศได้อย่างไร แน่ล่ะว่า จีนย่อมมีความกระตือรือร้นอย่างแรงกล้า ที่จะร่วมกับประชาชนในประเทศต่างๆ สร้างระเบียบโลกขึ้นมาใหม่ โดยนำเอาภูมิปัญญาของจีน เข้าไปช่วยปรับปรุงแต่ละสิ่งแต่ละอย่างให้ดีขึ้น จีนจะทำงานร่วมกับประชาชนในทุกๆประเทศ ในอันที่จะผลักดันระเบียบโลกและระบบบริหารจัดการโลก ให้เป็นไปในทิศทางที่เป็นธรรมยิ่งขึ้น มีเหตุผลยิ่งขึ้น เราพร้อมที่จะสนับสนุนให้ประชาชนทุกประเทศ ร่วมกันแปรเปลี่ยนแรงกดดันจากการถูกกระทำ ให้กลายมาเป็นพลังอำนาจ แปรเปลี่ยนความเสี่ยงให้กลายเป็นโอกาส แทนที่การเผชิญหน้าระหว่างกันและกันให้กลายเป็นความร่วมมือ ขจัดลบล้างการผูกขาดด้วยการอาศัยข้อตกลงที่จะนำมาซึ่งผลประโยชน์ร่วมกัน (Win-Win Deal)” นี่...อันนี้นี่แหละ สำคัญซะยิ่งกว่าการบุกเกาะเล็กๆ อย่างไต้หวันเป็นไหนๆ และการทำให้สิ่งเหล่านี้เป็นจริง-เป็นจังขึ้นมา ย่อมหมายถึงการไม่คิดจะเป็นผู้ “ลั่นกระสุนนัดแรก” ซะเองนั่นแล...