คงต้องหันมา “ย้ำหัวตะปู” เอาไว้อีกสักวัน...ถึงความแตกต่างระหว่าง “ทรัมป์บ้า” กับ “โจ ไบเดน” ว่าสุดท้ายแล้ว...คงไม่ต่างอะไรไปจาก “เป๊ปซี่” กับ “โคล่า” นั่นแหละทั่น!!! และนั่น...ก็น่าจะเป็นเหตุผลที่พอชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มในอนาคตของบรรดา “แนวรบ” ต่างๆ ในแต่ละซีกโลก ว่าคงแทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเอาเลยแม้แต่น้อย เผลอๆ...อาจจะดุขึ้น ดุเดือดเลือดพล่านยิ่งๆ ขึ้นไปก็ไม่แน่!!!
แม้แต่การคิดจะแต่งตั้งนายพลที่เพิ่งเกษียณอายุไปเมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว คือ “พลเอกลอยด์ ออสติน” (Lloyd J. Austin) ขึ้นมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหมอเมริกา แทนที่จะเป็น “ตัวเกร็ง” อย่าง “นางมิเชล ฟลัวร์นอย” (Michele Flournoy) ผู้ที่ลือๆ กันว่าออกไปทางบ้าเลือด บ้าสงครามอะไรประมาณนั้น แต่นั่น...ก็ดูจะไม่ได้ทำให้ “เครื่องจักรสงคราม” อย่างกองทัพสหรัฐฯ ดูดี หรือดูสุภาพ อ่อนหวาน ขึ้นมาแม้แต่เล็กๆ น้อยๆ...
เพราะนอกเหนือไปจากประวัติการรบของนายพลผิวสีผู้นี้ ที่เคยนำพากำลังทหารบุกอิรักเมื่อปี ค.ศ. 2003 ชนิดเล่นเอาบ้านแตกสาแหรกขาดไปเป็นแถบๆ เป็นผู้บัญชาการกองกำลังเฉพาะกิจร่วมผสม 180 ในสมรภูมิอัฟกานิสถาน จนเละตุ้มเป๊ะ เละเป็นขี้ เละเป็นโจ๊กตราบเท่าทุกวันนี้ หลังเกษียณอายุราชการยังได้ดิบ ได้ดี ได้ดำรงตำแหน่งเป็นบอร์ดคณะผู้บริหาร หรือคณะผู้อำนวยการของบริษัทธุรกิจที่ทำมาหารับประทานในด้านเซ็งลี้อาวุธยุทโธปกรณ์ให้กับกระทรวงกลาโหมอเมริกามาโดยตลอด คือบริษัท “Raytheon” บริษัทเดียวกันกับที่เคยส่ง “นายมาร์ค เอสเปอร์” (Mark Esper) มาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหมในรัฐบาล “ทรัมป์บ้า” นั่นเอง...
ใครที่อยากรู้รายละเอียดนอกเหนือไปจากนี้...น่าจะลองไปหาอ่านข้อเขียน บทความของ “Caitlin Johnstone” คอลัมนิสต์ชาวออสเตรเลีย เรื่อง “Biden’s prospective new defense secretary is another professional war profiteer” ที่เผยแพร่ไว้เมื่อวัน-สองวันนี้ ก็น่าจะพอสรุปได้ไม่ยากว่า โดยทัศนะมุมมองของ “ผู้เฒ่าโจ” คงไม่ได้แตกต่างอะไรไปจาก “ทรัมป์บ้า” มากมายสักเท่าไหร่นัก คือพร้อมที่จะเปิดช่อง เปิดทางให้กับ “นักแสวงหาประโยชน์จากสงครามมืออาชีพ” เข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหม โดยไม่คิดตะขิดตะขวงใจใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย บรรดาผู้บริหารของรัฐบาลอเมริกันชุดใหม่ จึงต้องเป็นไปตามแบบฉบับ... “รัฐมนตรีกลาโหมเป็นคนของบริษัท Raytheon รัฐมนตรีต่างประเทศเป็นคนของบริษัท Boeing รัฐมนตรีคลังเป็นคนของ Goldman Sachs ผู้ดูแลสำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมหรือ EPA เป็นคนของบริษัทน้ำมัน ExxonMobil ผู้อำนวยการซีไอเอเป็นคนของบริษัท Amazon และผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติเป็นคนของบริษัท Google ฯลฯ” อะไรประมาณนั้น...
ดังนั้น...ภายใต้ทัศนะและมุมมองเช่นนี้ จึงไม่ถึงกับน่าแปลกใจอะไรมากมายนัก กับข่าวคราวที่ได้ปรากฏให้เห็นเมื่อช่วงไม่กี่วันมานี้ หรือช่วงประมาณวันอาทิตย์ที่ 6 ธ.ค.ที่ผ่านมา โดยสำนักข่าวญี่ปุ่นทั้ง “Sankei” และ “Nikkei” ได้นำเสนอไปในแนวเดียวกัน ถึงการตระเตรียม “ปฏิบัติการซ้อมรบร่วม” ในน่านน้ำเอเชียและแปซิฟิก ระหว่างญี่ปุ่น อเมริกา ฝรั่งเศส และอังกฤษ ที่คิดจะส่งบรรดาเรือรบ เรือบรรทุกเครื่องบิน ยกพหลพลโยธาเข้ามาป้วนๆ เปี้ยนๆ ชนิดอาจลึกเข้าไปถึงแถบทะเลจีนใต้ ทะเลจีนตะวันออก ภายในช่วงเดือนเมษายนของปีหน้า หรือปี ค.ศ. 2021 อันอาจส่งผลให้มหาสมุทรแปซิฟิก “ร้อนฉ่า” ไปทั่วทั้งมหาสมุทรเอาง่ายๆ...
คือต้องเรียกว่า...พอๆ กับบรรยากาศในยุค “สงครามฝิ่น” เอาเลยก็ว่าได้ คือยุคที่บรรดา “นักล่าอาณานิคม” ทั้งหลาย รวมหัวกัน “กินโต๊ะ” คุณพี่จีน จนหายใจทางเหงือกแทบไม่ทัน เพราะด้วยอานุภาพของ “เรือปืน” แค่ไม่กี่ลำ ไม่ว่าจะเป็นพวกจอมยุทธ์ที่ฝึกเคล็ดวิชากำลังภายในระดับไหมฟ้า หรือไหมก็อะไรก็แล้วแต่ อย่างบรรดาพวก “กบฏนักมวย” ทั้งหลาย ล้วนแล้วแต่ต้องใช้วิชาตัวเบาหนียะย่าย พ่ายจะแจกันอุตลุด ต้องยอมศิโรราบ ต้องยอมตกลงเซ็นสัญญาเสียเปรียบ ไม่ว่า “สนธิสัญญานานกิง” ไปจน “สนธิสัญญาเทียนสิน” ต้องยกดินแดนแต่ละส่วนให้กับบรรดามหาอำนาจชาวยุโรปและญี่ปุ่น รุมทึ้งไปคนละหนุบ คนละหนับ เมืองสำคัญๆ ต่างๆ ไม่ว่าเซี่ยงไฮ้ กวางโจว ฟูเจา ไปจนเกาะเล็ก เกาะน้อย รวมทั้งเกาะฮ่องกง ฯลฯ ต่างตกอยู่ในอุ้งมือของนักล่าอาณานิคมต่างชาติ ที่มักชอบเขียนป้ายตัวโตๆ ติดเอาไว้หน้าปากประตูทางเข้าพื้นที่ของตัวเองว่า “ห้ามคนจีนและสุนัขเข้า” อะไรทำนองนั้น...
บรรยากาศทำนองนี้นี่แหละ...ที่ทำท่าว่าชักจะเริ่มหวนกลับมาสู่ “ทะเลจีน” กันอีกรอบ เพราะแม้แต่ประเทศในยุโรปที่แทบไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง พัวพันกับน่านน้ำแปซิฟิกช่วงหลังๆ นี้เอาเลยแม้แต่น้อย อย่างฝรั่งเศส และอังกฤษ ก็พลอยเอากะเค้าด้วย อังกฤษนั้น...เห็นว่ากะจะส่งเรือบรรทุกเครื่องบิน “HMS Queen Elizabeth” เข้ามาทอดแห ทอดสมอ ร่วมปฏิบัติการซ้อมรบในปีหน้า อย่างกระเหี้ยนกระหือรือเป็นอย่างยิ่ง อันถือเป็นการตอบสนองต่อแนวคิดของ “ผู้เฒ่าโจ” ที่แทบไม่ได้ต่างอะไรไปจาก “ทรัมป์บ้า” สักเท่าไหร่ หรือแทบไม่ต่างไปจากแนวคิดเรื่อง “ยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก” (Indo-Pacific Strategy) นั่นเอง ที่มุ่งอาศัยความเป็น “พันธมิตรทางทหาร” ระหว่าง 4 ประเทศหลักๆ อย่างอเมริกา อินเดีย ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย หรือกลุ่มประเทศ “QUAD” เป็นจุดเริ่มต้นในการ “ปิดล้อมจีน” เพียงแต่สิ่งที่อาจผิดแผกแตกต่างกันไปบ้าง ก็คือสิ่งที่ “ผู้เฒ่าโจ” ท่านพยายามเน้นย้ำถึงความสำคัญในการมุ่งแสวงหา “พันธมิตร” ให้กว้างขวางยิ่งขึ้นไปอีก “QUAD Plus” คราวนี้...เลยตัดสินใจหันไปลากเอาประเทศยุโรป อย่างอังกฤษและฝรั่งเศส ไหลตามเข้ามานุงนัง นัวเนีย ในย่านแปซิฟิกอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้...
ดังนั้น...ความพยายามเดินไปในแนว “สันติภาพ” อาศัย “พลังอำนาจอย่างอ่อน” (Soft Power) เพื่อสร้างความร่วมมือ-ร่วมใจในทางเศรษฐกิจ จนสามารถบรรลุเป้าหมายในการสร้างเขตเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง “RCEP” ของคุณพี่จีน การอาศัยโครงการเปลี่ยนโลก อย่าง “Belt and Road” ลอดเลื้อยไปกระหวัดรัดพันนานาประเทศตั้งแต่แอฟริกา ละตินอเมริกา ไปจนถึงยุโรปตะวันออก-ตะวันตก อย่างแยบยลเอามากๆ คงหนีไม่พ้นต้องถูกท้าทายด้วย “พลังอำนาจอย่างแข็ง” (Hard Power) ของคุณพ่ออเมริกาและบรรดาพันธมิตรทางทหารในแต่ละพื้นที่ แต่ละอาณาบริเวณ โดยเฉพาะที่ยังคงมีความขัดแย้ง มีกรณีพิพาทในเรื่องดินแดนและน่านน้ำ จนอาจนำไปสู่ “การเผชิญหน้าทางทหาร” ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ย่อมได้...
ยิ่งถ้าดูจากรายชื่อคณะผู้บริหารชุดใหม่ของรัฐบาล “ผู้เฒ่าโจ” ที่เต็มไปด้วยพวก “Professional war profiteer” หรือพวกนักแสวงหาผลกำไรมืออาชีพจากสงคราม อย่างที่คุณ “Caitlin Johnstone” ท่านว่าไว้แล้ว โอกาสที่ทุกสิ่งทุกอย่างอาจต้องเป็นไปในแบบ “เลือกความสงบ...ต้องจบที่ลุงตู่” ย่อมเป็นไปได้สูงเอามากๆ คือ “สงบ” แบบเต็มไปด้วย “การประท้วง” “ลงถนน” ไปจนถึงการ “ด่าพ่อ” “ล่อแม่” ฯลฯ ชนิดไม่ไล่ก็ไม่คิดจะเลิก...อะไรทำนองนั้น!!!