เห็นว่า...พวก “กูรู-กูรู้” เค้าคาดๆ เอาไว้ว่า อีกสักประมาณเดือน-สองเดือนข้างหน้า หรือช่วงต้นปีหน้า โอกาสที่ “ค่าเงินบาท” ของไทย จะทะลุโด่งแบบ “โด่มิรู้ล้ม” หรือแข็งค่ากันในระดับ 28-29 บาทต่อ 1 ดอลลาร์ น่าจะเป็นไปได้สูงเอามากๆ และนั่นอาจส่งผลให้ “ทุนนอก” ไหลทะลักเข้ามาเก็งกำไรกันแบบ “พลั่กๆๆ” เอาเลยก็ไม่แน่!!! หรือพูดง่ายๆ ก็คือ...อาจก่อให้เกิด “อัตราเสี่ยง” ที่สูงขึ้นๆ ต่อการสร้าง “สมดุล” ระหว่างเงินทุนที่ไหลเข้าและไหลออก...
จริง-ไม่จริง เชื่อ-ไม่เชื่อ น่าห่วง-ไม่น่าห่วง...คงต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของพวก “กูรู-กูรู้” ทั้งหลาย เขาไปว่ากันเอาเองก็แล้วกัน แต่โดยสรุปรวมความแล้ว ว่ากันว่า...เหตุปัจจัยอย่างหนึ่ง ที่ทำให้เงินบาทของไทย มีอาการไม่ต่างไปจากผู้รับประทานยาไวอากร้าเข้าไปเป็นกำๆ คงหนีไม่พ้นไปจาก “ค่าเงินดอลลาร์” ของคุณพ่ออเมริกาเองนั่นแหละ ที่ออกอาการตกเอา ต่ำเอา เมื่อเทียบกับบรรดาเงินสกุลต่างๆ ในระบบตะกร้า หรือน่าจะตกไปแล้วไม่ต่ำกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ ภายในสิ้นปีนี้...
ความตกต่ำของเงินดอลลาร์ อันเป็นสกุลเงินตราของประเทศอภิมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับ 1 ของโลก จึงถือเป็นตัวสะท้อนแนวโน้มความตกต่ำทางเศรษฐกิจของโลกทั้งโลกควบคู่ไปด้วยอย่างมิอาจปฏิเสธ จะด้วยเหตุเพราะ “ผลกระทบ” อันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของเชื้อ “COVID-19” หรือเพราะกระบวนการความตกต่ำที่ได้รับการสั่งสม ต่อเนื่องมานานแล้ว อันนี้...คงต้องไปวิเคราะห์กันเอาเอง แต่ที่แน่ๆ ก็คือ ย่อมส่งผลให้ภาวะเศรษฐกิจของทั่วทั้งโลก น่าจะหัวทิ่ม หัวตำ ตามไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้ หรืออย่างที่เลขาธิการสหประชาชาติ “นายอันโตนิโอ กูเตอร์เรส” (Antonio Guterres) ท่านได้ออกมาพูดเอาไว้ เมื่อช่วงวันศุกร์ (11 ธ.ค.) ที่ผ่านมานั่นแหละว่า...“ผลกระทบทางสังคมและเศรษฐกิจ อันเนื่องจากภาวะโรคระบาด ที่ใหญ่โตมหึมาและกำลังขยายตัวยิ่งขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่มีวัคซีนชนิดใด ที่สามารถปลดเปลื้องความเสียหายซึ่งอุบัติขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว อันจะนำมาซึ่งภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจระดับทั่วทั้งโลก ในรอบ 8 ทศวรรษที่ผ่านมา ความยากจนแบบสุดๆ กำลังปรากฏให้เห็น ภัยคุกคามแห่งความอดอยากกำลังก่อเค้าขึ้นมาลางๆ โดยบรรดาสิ่งเหล่านี้จะนำไปสู่ความเปราะบางทางเศรษฐกิจในระยะยาว ความไม่เท่าเทียมกันและความอยุติธรรม จะแพร่ระบาดไปในระดับโลก...”
อย่างไรก็ตาม...สิ่งที่น่าแปลกใจเอามากๆ หรืออาจถือเป็น “สิ่งมหัศจรรย์” เอาเลยก็ย่อมได้...นั่นคือประเทศอภิมหาอำนาจเศรษฐกิจอันดับ 2 อย่างคุณพี่จีน ที่แม้ต้องเจอกับเชื้อไวรัส “COVID-19” เป็นรายแรก และหนักหนาสาหัสไม่น้อยกว่ารายอื่นๆ แต่จะด้วยเหตุผลกลใด ก็ยังไม่ถึงกับชัดเจน นอกจากเป็นเพียงประเทศเดียวในโลก ที่ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวม หรือ “GDP” ประเทศ ไม่ถึงกับ “ติดลบ” เหมือนอย่างใครเขา แนวโน้มที่จะเด้งพรวดๆ พราดๆ ตัวเลขเศรษฐกิจกระดกเป็นรูป “ตัววี” กลับมาโตซะยิ่งกว่า “โตโยต้า” โตแบบอุจจาระแตก อุจจาระแตน ดูจะมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ อย่างที่บริษัทที่ปรึกษาด้านการวิจัยระดับโลก “Capital Economics” ที่เคยได้รับการยกย่อง สรรเสริญ คว้ารางวัล “Wolfson Economics Prize” ระดับน้องๆ รางวัลโนเบลไปครอง เมื่อปี ค.ศ. 2012 เขาได้ออกมาทำนายทายทักไว้ล่วงหน้านั่นแหละว่า โอกาสที่ตัวเลข “GDP” ของจีนในปีหน้า หรือในปี ค.ศ. 2021 จะโตขึ้นไปถึงประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ สูงกว่าที่ใครต่อใครเคยคาดๆ ว่าน่าจะแค่ประมาณ 7.9 เปอร์เซ็นต์ น่าจะเป็นไปได้อยู่แล้วแน่ๆ...
อันนี้นี่แหละ...ที่ถือเป็นเรื่องน่าคิด น่าสะกิดใจ มิใช่น้อย ว่าด้วยเหตุผลกลใด กันแน่??? ถึงได้ทำให้ “ทุนนิยมเผด็จการ” จึงมีฤทธิ์ มีเดช เอามากๆ ในขณะที่บรรดา “ทุนนิยมเสรี” ทั้งหลาย ยังหาทางออก ทางไป แทบไม่เจอ ยังแค่เพิ่งเริ่มๆ นำเสนอแนวคิด แนวทาง ที่เรียกๆ กันว่า “The Great Reset” มาเริ่มต้นทดสอบภายในห้องทดลอง หรือภายใต้ฉากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส “COVID-19” ไปตามมี-ตามเกิด แถมแนวคิดดังกล่าวดันถูกทำให้กลายเป็น “ทฤษฎีสมคบคิด” ไปซะนี่ กลายเป็นตัวสร้าง “ปฏิกิริยา” หรือสร้างแรงต่อต้าน แรงเสียดทาน จากบรรดาผู้เพรียกหาเสรีภาพ-เสมอภาค-และภราดรภาพทั้งหลาย จนอาจไม่มีโอกาสงัดมาใช้ได้เลยแม้แต่น้อย...
ไม่ต่างอะไรไปจากการแก้ปัญหาคนจน ความยากจน นั่นแหละ...ขณะที่ “ทุนนิยมเสรี” ยิ่งแก้ ยิ่งยุ่งเหยิง หนักซะยิ่งกว่าลิงแก้แห หรือยิ่งทำให้ “ช่องว่าง” ระหว่างความรวย-ความจน ขยายตัวพรวดๆ พราดๆ โดยเฉพาะเมื่อ “ศัตรูของทุนนิยม” หรือ “สังคมนิยม” ได้ล่มสลายลงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว บรรดา “คนรวย” ที่มีสิทธิ “ย้ายทุน” ไปยังที่ไหนต่อที่ไหนก็ย่อมได้ โดยเฉพาะสถานที่ที่มี “แรงงานราคาถูก” คอยเป็นตัวช่วยให้เกิดการเพิ่มพูนผลกำไรให้มากยิ่งขึ้นไปอีก ความร่ำรวยของคนรวย กับความยากจนของคนจน หรือแม้แต่คนชั้นกลางที่ต้องกลายไปเป็น “คนว่างงาน” จึงทำให้ “ช่องว่าง” ดังกล่าว มีแต่ยิ่งขยายตัวเพิ่มขึ้นๆ ชนิดถมเท่าไหร่ก็แทบไม่มีวันเต็มซะที...
ต่างไปจาก “ทุนนิยมเผด็จการ” ที่ใช้เวลาแค่ไม่กี่สิบปีเท่านั้นเอง แต่สามารถเสกๆ เป่าๆ นิรมิตให้บรรดาคนจนไม่น้อยไปกว่าระดับร้อยๆ ล้านคน หายจน หายอดอยาก ปากแห้ง ได้อย่างเป็นเรื่อง เป็นราว เป็นจริง เป็นจัง ชนิดองค์กรระหว่างประเทศอย่างสหประชาชาติ ยังต้องออกมาให้ความยอมรับอย่างเป็นเอกฉันท์ แถมเมื่อต้องเจอกับ “วิกฤต” ในลักษณะที่ไม่ได้ผิดแผกแตกต่างไปจากกัน คือเจอกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส “COVID-19” แบบเดียวกัน ช่วงเวลาใกล้ๆ กัน แต่ดันเป็น “ทุนนิยมเผด็จการ” อีกนั่นแหละ ที่กลับ “เอาอยู่” ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีประสิทธิผลเอามากๆ ขณะที่ “ทุนนิยมเสรี” กลับปวกๆ เปียกๆ กลายสภาพเป็นมะเขือเผา ไม่เพียงจำนวนคนตาย คนติดเชื้อ จะเพิ่มพรวดๆ พราดๆ ยิ่งเข้าไปทุกที การรับมือต่อ “ผลกระทบ” ที่ตามมา ไม่ว่าในแง่สังคม หรือเศรษฐกิจ ก็แทบมองไม่เห็นทางออก ทางไป หรือคงต้องโตแบบ “ตัวแอล-ตัวยู” กันไปตามสภาพ...
แน่นอนว่า...ภายใต้สภาพเช่นนี้ โอกาสที่ประเทศ “ทุนนิยมเสรี” ใดๆ ก็ตาม คิดจะไปกีดกัน ป้องกัน ประเทศ “ทุนนิยมเผด็จการ” กันแบบดื้อๆ ทื่อๆ นั้น นอกจากเป็นอะไรที่ไม่น่าจะ “เข้าท่า” แล้ว ยังแทบ “เป็นไปไม่ได้” ซะอีกด้วยต่างหาก เพราะอย่างที่ผู้นำสิงคโปร์ นายกรัฐมนตรี “ลี เซียนลุง” ท่านว่าเอาไว้นั่นแหละว่า... “ไม่มีประเทศมากนักหรอก ที่ต้องการร่วมมือกับประเทศที่มีพื้นฐานในการกีดกันผู้อื่น โดยเฉพาะการกีดกันประเทศที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจระดับโลกอย่างประเทศจีน” สู้หันไปใคร่ครวญ พิจารณาถึง “ข้อดี-ข้อเสีย” ของแต่ละฝ่ายออกมาให้ชัดๆ หรือหาหนทางเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันให้จงได้ จึงถือเป็นสิ่งสำคัญซะยิ่งกว่า โดยเฉพาะสำหรับฉากสถานการณ์ในอนาคตเบื้องหน้า...
แม้แต่ประเทศเล็กๆ อย่างไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮาก็เถอะ...ด้วยอาการสะเปะสะปะ เละเทอะ เลอะเทะ (เลอะเทอะ) อย่างเห็นได้โดยชัดเจน ของ “ม็อบเด็กๆ” ช่วงหลังๆ อาจส่งผลให้ผู้นำรัฐบาลอย่างนายกฯ “บิ๊กตู่” ออกจะปลอดโปร่งโล่งสบาย อยู่ตามสมควร หรืออย่างน้อย...ก็น่าจะผ่านพ้นสิ้นปีนี้ ไปด้วยความสงบเรียบโร้ยย์ย์ย์ โดยเฉพาะเมื่อพวกเด็กๆ เขาป่าวประกาศว่าจะ “พักรบ” ไปจนปีหน้า ฟ้าใหม่ ถึงค่อยออกมามุ้งๆ มิ้งๆ กันอีกที แต่ก็นั่นแหละ...สิ่งที่ก่อให้เกิดความปวดเศียรเวียนเกล้า ต่อความเป็นไปของบ้านเมือง คงไม่ได้มีแต่เฉพาะเรื่องของพวกเด็กๆ แต่เพียงเท่านั้น ยังมีเรื่องปาก-เรื่องท้อง หรือเรื่อง “เศรษฐกิจ” นั่นเอง ที่ถือเป็นอุปสรรคขวากหนาม อันน่าหวาดหวั่น ขวัญสยอง เอามากๆ...
ดังนั้น...ภายใต้แนวโน้มความเป็นไปของโลกอนาคตที่...“ความยากจนแบบสุดๆ กำลังปรากฏให้เห็น ภัยคุกคามแห่งความอดอยากกำลังก่อเค้าขึ้นมาลางๆ โดยบรรดาสิ่งเหล่านี้จะนำไปสู่ความเปราะบางทางเศรษฐกิจในระยะยาว ความไม่เท่าเทียมกันและความอยุติธรรมจะแพร่ระบาดไปในระดับโลก...” ดังที่เลขาธิการสหประชาชาติท่านได้คาดการณ์เอาไว้ หรือภายใต้ฉากสถานการณ์ที่อาจหนักหนาสาหัส ไม่น้อยไปกว่าช่วง 8 ทศวรรษที่ผ่านมา หรือช่วงปีพุทธศักราช 2475 อันเป็นช่วงเวลาแห่ง “การเปลี่ยนแปลงการปกครอง” ของประเทศไทยแบบแทบพอดิบ พอดี การใคร่ครวญพิจารณา ถึง “ข้อดี-ข้อเสีย” ที่ว่านี้ จึงยิ่งน่าจะมีความสำคัญยิ่งขึ้นไปเท่านั้น...