ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ราวกับนัดกันมาอย่างไรอย่างนั้น สำหรับความเคลื่อนไหวของ “ 2 เจ้าพ่อสื่อ” อย่าง “ฉาย บุนนาค” และ ต้อยไอโอ-สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม” หลังเกิดความขัดแย้งอย่างหนักจนประกาศแยกทางกันชนิด “ผีไม่เผาเงา ไม่เหยียบ” แล้วก็ไม่รู้ว่าจะกลายเป็น “แค้นสั่งฟ้า” ในภายภาคหน้าหรืออย่างไร
ฟาก “ต้อยไอโอ” หลังระเห็จออกมาจาก “ทีวีเนชั่น” ของ “เนฉาย” พร้อมสมัครพรรคพวกร่วมทางอย่าง “กนก รัตน์วงศ์สกุล ธีระ ธัญไพบูลย์ อัญชะลี ไพรีรัก สันติสุข มะโรงศรี” และอีกหลายชีวิต ก็เคว้งคว้างหาทางไปอยู่นานสองนาน
หนแรกก็มีข่าวว่าจะไป “นิวทีวี ช่อง 18” ของ “เครือเดลินิวส์” แต่แล้วก็มีปัญหาตกลงกันไม่ลงตัว แล้วก็มีข่าวว่าจะไปลงหลักปักฐานอยู่ที่ “ช่อง 11 หอยม่วง” ที่มี “ท่านนายพลไก่อู-สรรเสริญ แก้วกำเนิด” เป็นอธิบดี ทว่า ด้วยความที่ “เล่นใหญ่เกินตัว” โดยเฉพาะเรื่อง “ค่าจ้าง” ก็เลยทำให้ “ดีลล่ม” กระทั่งมาสร้างความฮือฮาอีกครั้งเมื่อเกิดกระแสข่าวสะพัดไปทั่วว่า “นิวทีวี” ตัดสินใจขายช่องและเวลาที่เหลือตามใบอนุญาตอีก 8 ปีให้กับ “ต้อยไอโอ” ด้วยเม็ดเงินก้อนโต 800 ล้านบาท
ทว่า ก็ยังไม่ชัดเจนร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าจะ “จบดีล” อย่างที่ “ฝันอร่อย” เอาไว้ หรือ “ดีลล่ม” ล้มไม่เป็นท่า เพราะโอกาสที่จะพังก็มีสูงเช่นกัน
ขณะที่เรื่องนิวทีวีกับต้อยไอโอยังคง “ลูกผีลูกคน” ก็มีความเคลื่อนไหวจาก ค่ายเนชั่น ของ “ฉาย บุนนาค”
กล่าวคือหลังจากฉายจับมือกับลูกหม้อเนชั่นเก่าคือ “อดิศักดิ์ ลิมปรุ่งพัฒนกิจ” ข้าไปบริหารงานทีวี เนชั่น ในฐานะผู้อำนวยการใหญ่ พร้อมเดินหน้ายกเครื่องช่องเนชั่นใหม่ ก็มีความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญอันเป็น “ปริศนา” อีกครั้ง เมื่อปรากฏว่า มีบริษัทปริศนาจาก “ฮ่องกง” ที่ใช้ชื่อว่า “CHIT LOM LIMITED” เข้าซื้อหุ้น “เนชั่น” เพิ่ม จาก “ยูซิตี้” ซึ่งเป็นบริษัทลูก “BTS”
สังคมนักลงทุนโจษจันกันทันทีโดยตั้งประเด็นคำถามเอาไว้ว่า หรือ “คีรี กาญจนพาสน์” แห่งอาณาจักรบีทีเอสจะถอนยวงการลงทุนจากค่ายเนชั่นหลังมีกระแสข่าวเรื่องดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่องในช่วงก่อนหน้านี้
หรือมีอะไรที่มากไปกว่านี้ เพราะจนถึงบัดนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ว่า CHIT LOM LIMITED มีที่มาที่ไปอย่างไร ทำไมถึงได้ตัดสินใจควักเงินมาซื้อสื่อประเทศไทย
ทั้งสองเรื่องล้วนแล้วแต่น่าสนใจและจำต้องอธิบายขยายความหรือไขปริศนาความซับซ้อนซ่อนเงื่อนที่เกิดขึ้นจนเกิดคำถามว่า “ทีวีมืออาชีพอะไรมีแต่นอมินี”
กล่าวสำหรับ “เสี่ยต้อยและคณะไอโอเชียร์ลุง" กับ “ดีลช่อง 18” ที่มี “ประภา เหตระกูล ศรีนวลนัด” เป็นหัวเรือใหญ่ เริ่มมีร่องรอยความชัดเจนมากขึ้นเมื่อคนของนิวทีวีคือ “เสริมสุข กษิติประดิษฐ์” หรือ “เป๊ปซี่” หัวหน้ากองบรรณาธิการข่าวสถานีโทรทัศน์นิวทีวี ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวประกาศก้องต่อบรรดากองเชียร์ลุงในทำนองว่า “เสี่ยต้อย-สนธิญาณ” เตรียมแถลงข่าวประกาศเป็นทางการ ในช่วงกลางเดือนธันวาคมนี้ พร้อมระบุด้วยว่า “เท่าที่ฟังมาน่าจะเป็นช่องนิว18แต่ต้องรอการชี้แจงอย่างเป็นทางการจากทางช่องอีกทีครับ ทางนิว18 ยังไม่ได้ชี้แจงอะไร”
จากนั้นมีคำยืนยันเป็นวรรคเป็นเวรเมื่อวันที่ 8 ธันวาคมจากสื่อที่ชื่อ The Key News ซึ่งระบุว่า แหล่งข่าวจาก บริษัท ดีเอ็น บรอดคาสท์ จำกัด เจ้าของคลื่น New TV 18 เปิดเผยว่า ขณะนี้ผู้บริหารบริษัทฯ มีการเจรจาตกลงที่จะขายสัมปทานช่อง New TV 18 ที่จะเหลือเวลาสัมปทานอีกประมาณ 8 ปี ให้กับกลุ่มของ นายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
The Key News อรรถาธิบายอย่างละเอียดด้วยว่า “การเจรจาที่ผ่านมา หารือกันประมาณ 5 รอบ ในห้วงเวลา 3 สัปดาห์ โดยคนกลางที่เป็นผู้เจรจาคือ นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงเทพ ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ ได้เรียกคุณแดง-ประภา เหตระกูล มาหารือโดตรงกับนายสนธิญาณ เพื่อหาข้อยุติ เนื่องจากกลุ่มนายสนธิญาณ ได้นำใบเซ็นสั่งซื้อโฆษณาระยะยาวจากบริษัทที่มีชื่อเสียงประมาณ 6-7 บริษัท ซึ่งเป็นการการันตีว่า มีรายได้โฆษณาแน่นอน โดยจบที่ตัวเลข 800 กว่าล้านบาท”
“ระหว่างนี้อยู่ในขั้นตอนการโอนที่ดิน โอนตึก โอนเครื่องมือ เปลี่ยนแปลงชื่อบริษัทฯใหม่ สำหรับบุคลากร ทราบมาว่า ทีมของนายสนธิญาณจะคัดเลือกบุคลากรบางคนมาร่วมงาน อย่างนายเสริมสุข กษิติประดิษฐ์ หรือ เป๊ปซี่ ก็จะได้ไปจัดรายการใหม่กับทีมนายสนธิญาณ ส่วนคนอื่นๆ ยังไม่ทราบแน่ชัด ก็คงต้องมีการเจรจากันต่อไป”
แหล่งข่าวของ The Key News รายงานว่า “เสี่ยต้อย-สนธิญาณ” ได้รับการสนับสนุนด้านโฆษณาจาก 7 บริษัท เป็นที่เรียบร้อยแล้ว มูลค่าหลายร้อยล้านบาท โดยผู้ให้การสนับสนุนโฆษณาเหล่านี้ ไม่กลัวเรื่องการถูกแบนโฆษณา และวางแผนการลงโฆษณาระยะยาว ซึ่งนายสนธิญาณ จะเปิดแถลงข่าวเป็นทางการในวันที่ 16 ธ.ค.นี้ เวลา 15.00 น. ที่โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล และจะออนแอร์อย่างเป็นทางการในวันที่ 21 ธ.ค. เวลา 15.00 น. โดย 2 ชั่วโมงแรกจะเป็นรายการพิเศษ จากนั้นหลัง 17.00 น. เป็นต้นไป จะเข้าสู่ผังรายการปกติ
คำถามที่ตามมาในฉับพลันทันทีก็คือ The Key News คือใคร มาจากไหน ทำไมถึงรู้เรื่องนี้อย่างละเอียดลออ ซึ่งในเบื้องต้น จากการตรวจสอบฐานข้อมูลนิติบุคคลในประเทศ ระบุว่า บริษัท เดอะ คีย์ นิวส์ จำกัด (The KEY NEWS CO., LTD.) จดทะเบียนเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2563 ทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท ประกอบกิจการผลิตและเผยแพร่การดำเนินงานเกี่ยวกับสื่อสารมวลชน โดยมีรายชื่อกรรมการ 3 คน ได้แก่ นายกิตติ์ธเนศ ตั้งสิริธนนันท์, นางสาวสาวิตรี เล็กมณี และ นายวรวิทย์ ศรีอนันต์รักษา และได้ยกเลิกกิจการในวันที่ 30 กันยายน 2563
ต่อมาวันที่ 12 ตุลาคม 2563 มีการจัดตั้งบริษัท เดอะคีย์ 2020 จำกัด (THE KEY 2020 CO., LTD.) ทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท ประกอบกิจการเหมือนเดิม โดยมีรายชื่อกรรมการ 3 คน (ในจำนวนนี้ 2 คน เป็นคนเดิม) ได้แก่ 1.นายกิตติ์ธเนศ ตั้งสิริธนนันท์, นางสาวสาวิตรี เล็กมณี และ นางสาวอุบล ชาญปรีชาสมุทร (กรรมการคนใหม่)
เห็นรายชื่อกรรมการแล้วก็ต้องร้องดังๆ เพราะล้วนแล้วแต่เป็น “คนเดลินิวส์เก่า” ที่แยกทางกันออกมาด้วยปัญหาภายใน ดังนั้น ข่าวนี้น่าจะมีเค้าลางความจริงพอสมควร เพียงแต่ต้องรอการประกาศตัวอย่างเป็นทางการเท่านั้น อย่างไรก็ตาม โอกาสที่จะสำเร็จหรือล่มก็ยังสามารถเกิดขึ้นได้เสมอ ตราบใดที่เรื่องยังไม่ได้ออกมาจากปากของทั้งสองฝ่ายคือ “เสี่ยต้อย-สนธิญาณ” และ “ประภา เหตระกูล ศรีนวลนัด”
แล้วหลังจากข่าวออกมาชนิด “ตดยังไม่ทันหายเหม็น” เจ้ากรมข่าวลือรายเดิมอย่าง “เป๊ปซี่-เสริมสุข” ก็โพสต์ความคืบหน้ากลับตาลปัตรไปอีกทาง เพราะปรากฏว่า นิวทีวียังคงใช้ “ผังเดิม” ไม่มีการปรับเปลี่ยนอะไร
“การเจรจาพูดคุยที่ว่าลงตัวแล้วจบที่ 800 ยังไม่มีการชี้แจงใดๆ จากทางนิว 18 ลงตัวอย่างที่เป็นข่าวหรือไม่ ฟังมาว่ายังสะดุดดดดดดดดครัช....”เป๊ปซี่ว่าไว้อย่างนั้น
ทีนี้ ก็ช่างบังเอิญอย่างร้ายกาจที่ในช่วงเช้า “เจ๊ปอง-อัญชะลี” ก็โพสต์เฟซบุ๊กออกอาการแปลกๆ ว่า “ถ้าพวกเราไม่มีทีวีสักช่อง ในวันนี้ พรุ่งนี้ มะรืนนี้ หรือตลอดไป จะติดตามเราทางออนไลน์ไหมค่ะ ถ้าตอบว่า ตาม ตามเลยค่ะ อย่าลังเล”
โยนหินถามทางออกอาการแบบนี้ ฟันธงเปรี้ยงปร้างไปได้เลยว่า “ดีลปีปัญหา” แหงๆ เพราะถ้ามั่นใจว่า “ดีลจบ” เอาหัวเป็นประกันเลยว่า “เจ๊ปอง” จะโพนทะนาแบบไม่มีกั๊กแน่นอน
สอดรับกับคนวงในของ “เครือข่ายใหญ่” อย่าง “ไพศาล พืชมงคล” อดีตกรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Paisal Puechmongkol พร้อมระบุว่า “ถึงแม้ไม่มีทีวีลงสักช่อง!!! แต่สื่อคุณภาพอย่างเจ๊ปอง และคุณสันติสุข ก็ยังครองใจแฟนๆอยู่เสมอ ดังนั้นไม่ว่าจะใช้ Social Network ใด ผมก็จะตามไปชมครับ!!! ถึงจะแซวผมอยู่เป็นประจำ ก็ไม่ว่ากัน! ก็คนรักกันนี่ครับ! จะทำอย่างไรได้!!! ก็ได้แต่หวังว่าจะเป็นกำลังให้กับแนวรบสื่อของบ้านเมืองอีกแรง!!!”
คำถามที่ตามมาก็คือถ้าดีลล่ม ล่มเพราะอะไร
ล่มเพราะ “ประภา เหตระกูล ศรีนวลนัด” เปลี่ยนใจไม่ขาย ซึ่งก็มีความเป็นไปได้ในระดับหนึ่ง
หรือล่มเพราะ “ต้อยไอโอ” มีเพียงแค่ “ราคาคุย” ไอ้ที่ออกมาบอกว่ามีบริษัท 7 แห่งซื้อโฆษณา 800 ล้านบาทน่าจะเป็นแค่การปล่อยข่าวเสียมากกว่า
หรือล่มเพราะ “7 บริษัท” ชักไม่แน่ใจว่า การขนเงินไปสนับสนุนทีวีไอโอจะนำพาซึ่งปัญหาทางธุรกิจหรือไม่อย่างไร แล้วเมื่อเช็กไปที่ “2 บริษัทใหญ่” ที่น่าจะอยู่ใน 7 บริษัทที่ว่านั้น ก็บอกตรงกันว่า “ไม่ได้ให้งบโฆษณา”
หรือล่มเพราะ “เครือข่ายใหญ่" ที่ว่ากันว่าอยู่เบื้องหลังเงินซื้อช่อง 18 เกิด “เปลี่ยนใจ” ด้วยเห็นว่า เป็นการลงทุนที่ได้ไม่คุ้มเสีย เพราะเวลานี้สถานการณ์การเมืองก็มิได้น่าเป็นห่วงเหมือนเดิมอีกต่อไป สถานะของ “เครือข่ายใหญ่” ดูจะมั่นคง มิได้ระคายเคืองจาก “ม็อบ” อย่างที่หวาดหวั่นตั้งแต่แรก
แต่ถ้างานนี้ “ดีลจบ” ก็คงจะต้องติดตามกันต่อไปว่า “ต้อยไอโอ” จะนำพาช่อง 18 นิวทีวีไปได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่ เพราะถ้าใครติดตามเส้นทางสื่อของ “เสี่ยต้อย-สนธิญาณ” ก็พบว่า มีหลายครั้งที่ “ไปไม่รอด” จนผู้ที่เคยร่วมงานหลายต่อหลายคนเข็ดหลาบกับชื่อนี้กันไปก็ไม่น้อย
แล้วก็ต้องติดตามกันต่อไปว่า “7 บริษัท” ที่สนับสนุนโฆษณามูลค่าราว 800 ล้านจนสามารถทำให้เจ้าหนี้อย่าง “ธนาคารกรุงเทพ” ของ “เสี่ยโทนี่-ชาติศิริ” เห็นดีเห็นงามและมั่นใจว่าจะไปรอดได้นั้น คือบริษัทอะไร ทำไมถึงกล้าควักเงินออกจากกระเป๋ามาสนับสนุนสื่อโทรทัศน์ที่ยังไม่รู้อนาคตเช่นนี้
ว่ากันว่า 7 บริษัทที่ว่านั้น น่าจะมีความสัมพันธ์กับ “เครือข่ายใหญ่” เป็นแน่แท้ เพราะถ้าเป็น “ต้อยไอโอ” มีฝีมือจริง ก็คงดีลกันจบไปนานแล้ว ไม่ต้องดิ้นรนกันอยู่ตั้งนานสองนาน
ขณะที่ฝั่ง “ประภา เหตระกูล ศรีนวลนัด” ก็อาจจะพูดได้ว่า ยกภูเขาออกจากอก กันเลยทีเดียว เพราะต้องไม่ลืมว่าตั้งแต่ได้สัมปทานทีวีดิจิทัลมา เมื่อปี 2557 ก็ขาดทุนมาอย่างต่อเนื่อง แทบยังเกิดความขัดแย้งกันเองภายในอย่างหนัก เรียกว่าเป็นทุกขลาภของนายทุนที่กระโจนลงทีวีดิจิทัล ที่คิดว่าจะตักตวงเงินจากโฆษณาเลยก็ว่าได้
แม้ว่า นิวทีวี ปีหลังๆ จะมีรายได้อยู่ที่ 120 ล้านต่อปี แต่ก็ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับช่องอื่นๆ ที่มีเรตติ้งต่ำเตี้ยเรี่ยดินเช่นเดียวกับ นิวทีวี
ว่ากันว่า ปี 2563 ผลกระทบจากโควิด เศรษฐกิจซบเซา นิวทีวีก็น่าจะขาดทุนเพิ่มขึ้นไปอีก จากรอบ 6 ปี (57-62) ที่รายงานกับ กสทช.ไว้ว่าขาดทุนสะสม 2,934.01 ล้านบาท ตัวเลขก็คงพุ่งไปมากกว่านี้อย่างไม่ต้องสงสัย
ที่น่าสนใจก็คือ ดีลเซ้งต่อนิวทีวี มูลค่า 800 ล้านนี้ “เสี่ยต้อย-สนธิญาณ” ต้องแบกรับภาระขาดทุนสะสมของช่องเกือบๆ 3 พันล้านบาทไปด้วยหรือไม่ อย่างไร ? หรือทำๆ ไปด้วยมีเป้าหมายเฉพาะหน้าคือ “เชียร์ลุง” ส่วนอนาคตจะอยู่หรือจะไปค่อยว่ากันอีกที
แต่เป็น “ปริศนาเสียยิ่งกว่า” คือเรื่องของค่ายเนชั่น เมื่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ถึงการได้รับรายงานการได้มา ซึ่งหุ้นของบริษัท เนชั่น มัลติมิเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ “NMG” โดย “CHIT LOM LIMITED เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2563 จำนวนหลักทรัพย์ที่ได้มาคิดเป็น 9.9899% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ ส่งผลให้จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการได้มา คิดเป็น 19.6255% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ
ขณะเดียวกันมีรายงานการจำหน่ายหุ้นของ NMG ในวันเดียวกันดังกล่าว โดย “บริษัท ยูซิตี้ จำกัด (มหาชน)” จำนวนหลักทรัพย์ที่ที่จำหน่าย คิดเป็น 9.9899% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ ซึ่งทำให้จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการจำหน่ายของ บมจ.ยูซิตี้ เหลือ 0%
แปลไทยเป็นไทยก็คือ บริษัท ยูซิตี้ จำกัด (มหาชน) ขายหุ้นทั้งหมดให้กับ CHIT LOM LIMITED
สิ่งที่น่าสนใจก็คือ บริษัท ยูซิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ “U” นั้น เป็นบริษัทในเครือบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS โดย “เจ้าสัวคีรี กาญจนพาสน์” นั้นเป็นทั้งประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS และประธานคณะกรรมการ บริษัท ยู ซิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ Uด้วยเหตุดังกล่าวจึงเกิดเสียงร่ำลือตามมาในทันทีว่า หรือ “เจ้าสัวคีรี” แห่งอาณาจักรบีทีเอสทิ้งเนชั่นของเนฉายไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2563 นายสยาม สีวราภรณ์ กรรมการและเลขานุการบริษัท บริษัท ยู ซิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ “U” ได้แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า บริษัทได้ลงนามในสัญญาจะซื้อจะขาย เพื่อขายหุ้น NMG ทั้งหมดที่บริษัทถือครองให้แก่ ผู้จะซื้อ (ซึ่งไมใช่บุคคลที่เกี่ยวโยงกัน) โดยมีมูลค่าซื้อขายจำนวน 69,086,300 บาท หรือคิดเป็นราคาซื้อขายหุ้นละ 0.17 บาท ซึ่งเป็นราคาซื้อขายสุดท้ายก่อนขึ้นเครื่องหมายห้ามซื้อขายหลักทรัพย์จดทะเบียนเป็นการชั่วคราว (SP) ของหุ้น NMG โดยคาดว่าจะดำเนินการโอนหุ้นทั้งหมดให้แก่ผู้จะซื้อแล้วเสร็จภายในวันที่ 4 ธันวาคม 2563
ทั้งนี้ เนื่องจากบริษัท ยู ซิตี้ฯ ได้ปรับแผนการลงทุนและพัฒนาของบริษัท โดยมุ่งเน้นในทรัพย์สินหลักของบริษัทก่อน เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์และสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน บริษัทจึงได้พิจารณาทบทวนแผนการลงทุนในหุ้น NMG ซึ่งไม่ใช่ทรัพย์สินหลักของบริษัท
คำถามที่ตามมาก็คือ CHIT LOM LIMITED ซึ่งเป็น “ผู้ซื้อ” เป็นใครมาจากไหน และทำไมถึงมาร่วมหอลงโรงกับ “เนฉาย” ได้
จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า CHIT LOM LIMITED เป็นบริษัทที่จดทะเบียนในฮ่องกง และมีบุคคลชื่อ ลีโอ ชาน (Leo Chan) เป็นผู้มีอำนาจในการติดต่อ เคยเข้ามาซื้อหุ้นเนชั่นแล้วรอบหนึ่ง เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2560 โดยจำนวนหลักทรัพย์ที่ได้มาคิดเป็น 9.6359% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ และทำให้จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการได้มาคิดเป็น 9.6359% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ
หากยังจำกันได้ ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2563 นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป ( BTS ) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีมีกระแสข่าวเข้าร่วมทุนนิวส์ 18 ซึ่งเป็นช่องที่ผู้ประกาศข่าวเนชั่นทีวี ยกทีมลาออกไปร่วมงานว่า ข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ ตามที่เป็นข่าว
ส่วนข้อสงสัย บริษัท ยูซิตี้ ( U) ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ บีทีเอส ขายหุ้นบริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป ( NMG ) จำนวน 406.39 ล้านหุ้น คิดเป็น 9.99 % ออกไป โดยมีกระแสข่าวลือว่า เป็นการขายให้กับบุคคลต่าง ๆ ซึ่งเป็นนักการเมือง อาทิเช่น นายทักษิณ ชินวัตร หรือนางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ นายศีรีก็ยืนยันว่าไม่เป็นความจริงเช่นกัน
“ยูซิตี้ ขายหุ้น NGM ออกไป เป็นการตัดสินใจไม่ลงทุนธุรกิจสื่อ ซึ่งไม่ใช่ธุรกิจหลักของยูซิตี้ ที่ทำอสังหาริมทรัพย์ โดยหุ้นเนชั่น ฯ ที่เดิมถืออยู่ ติดมากับบริษัท แนเชอรัล พาร์ค ( N-PARK ) ซึ่งการทำสื่อไม่ใช่แนวทางของเรา ยูซิตี้ ทำอสังหา ฯ ทำโรงแรม ไม่ควรมีหุ้นสื่อ ซึ่งเป็นธุรกิจที่เราไม่ชำนาญ ส่วนหุ้น NMG ที่ขายออกไป ยืนยันได้ว่า ไม่ได้ขายให้กับบุคคลตามที่มีชื่อในข่าวลือ เป็นการขายให้กองทุน โดยรายละเอียดผมไม่ทราบว่าเป็นกองทุนอะไร” นายคีรีให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2563 ที่ผ่านมา และขยายความด้วยว่า “ขอเวลาไปคิดทำอย่างอื่นที่ไม่ใช่สื่อดีกว่า นาทีนี้การทำรถไฟฟ้าดีที่สุดทั้งนี้ บริษัท ยูซิตี้ จะโอนหุ้น NMG จำนวน 406.39 ล้านหุ้น หรือ 9.99 % ให้กับผู้ซื้อ วันที่ 4 ธ.ค. 2563 มูลค่าขาย 69 ล้านบาท หรือเฉลี่ยหุ้นละ 0.17 บาท โดยหุ้น NMG ขึ้นเครื่องหมาย SP ห้ามซื้อขาย”
ถ้าหากไล่เรียงคำให้สัมภาษณ์ของเจ้าสัวคีรีก็จะเห็นความชัดเจนของการซื้อขายหุ้นในครั้งนี้เพราะเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2563 เจ้าสัวคีรีบอกเอาไว้ชัดเจนว่า จะโอนหุ้นเนชั่นให้กับผู้ซื้อในวันที่ 4 ธันวาคมและปรากฏในเวลาต่อมาว่าผู้ซื้อก็คือ CHIT LOM LIMITED
ยังไม่แน่ชัดว่า “ลีโอ ชาน” เป็นตัวแทนของใคร เพราะเบาะแสเกี่ยวกับตัวเขาในเอกสารดังกล่าว มีแค่ เบอร์ติดต่อ +852 2106 0860 และอีเมล์ leo.chan@asmhk.com เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้มีเงื่อนงำที่ไม่ธรรมดา
หากยังจำกันได้ ก่อนหน้านี้เคยปรากฏข่าว CHIT LOM LIMITED เข้ามาเกี่ยวข้องกับการซื้อหุ้น NMG มาแล้วครั้งหนึ่ง โดยเมื่อวันที่ 4 กันยายน 2560 บริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ NMG แจ้งในเว็บไซต์ ตลท. ระบุว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. ได้รับแบบรายงานการได้มาและจำหน่ายหลักทรัพย์ของกิจการ (แบบ 246-2) มีข้อสรุปดังนี้
1) ก.ล.ต. ได้รับรายงานการ “ได้มา” หุ้นของ บมจ. เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) โดย CHIT LOM LIMITED (ชิดลม ลิมิเต็ด) ซึ่งเป็นการได้มา เมื่อวันที่ 31/08/2560
จำนวนหลักทรัพย์ที่ได้มาคิดเป็น 9.6359% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ และทำให้จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการได้มาคิดเป็น 9.6359% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ
2) ก.ล.ต. ได้รับรายงานการ “จำหน่าย” หุ้นของ บมจ. เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) โดย DIGITAL SKY HOLDINGS LIMITED (ดิจิตอล สกาย โฮลดิ้งส์ ลิมิเต็ด) ซึ่งเป็นการจำหน่าย เมื่อวันที่ 31/08/2560 จำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายคิดเป็น -9.6359% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ และทำให้จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการจำหน่ายคิดเป็น 0.0% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ
ครั้งนั้น CHIT LOM LIMITED ซื้อหุ้นเนชั่นจาก DIGITAL SKY HOLDINGS LIMITED และคราวนี้ซื้ออีกลอตจากบริษัท ยูซิตี้ จำกัด (มหาชน)ของเจ้าสัวคีรี กาญจนพาสน์
ในครั้งนั้น ก็มีการตั้งข้อสงสัยและตรวจสอบกันมาแล้วครั้งหนึ่งว่า CHIT LOM LIMITED และ บริษัท DIGITAL SKY HOLDINGS LIMITED เป็นใครมาจากไหน
ทั้งนี้ เมื่อตรวจสอบการจดทะเบียนการค้าของกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์กลับไม่พบข้อมูลการจดทะเบียนการค้า ในประเทศไทยของบริษัท CHIT LOM LIMITED และ บริษัท DIGITAL SKY HOLDINGS LIMITED แต่อย่างใด
แต่ก็มีกระแสข่าวว่า บริษัท CHIT LOM LIMITED เป็นธุรกิจในเครือตระกูลจิราธิวัฒน์ ส่วนบริษัท DIGITAL SKY HOLDINGS LIMITED เป็นธุรกิจของนายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS ทว่า ไม่มีหลักฐานที่เชื่อมโยงได้
และในครั้งนั้น “เจ้าสัวสุทธิเกียรติ จิราธิวัฒน์” ประธานกรรมการ และผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 บริษัท บางกอก โพสต์ จำกัด (มหาชน) หรือ POST ออกมาปฏิเสธว่า ตนและตระกูลจิราธิวัฒน์ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือถือหุ้นในบริษัท CHIT LOM LIMITED ที่ได้มาซื้อหุ้น เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป (มหาชน) จำกัด จาก บริษัท DIGITAL SKY HOLDINGS LIMITED ในสัดส่วน 9.6359% แต่อย่างใด
ขณะที่หลายกระแสก็เชื่อและวิเคราะห์กันว่า CHIT LOM LIMITED ที่เข้ามารับซื้อหุ้นเนชั่น ต่อจากกลุ่ม BTS ทั้งสองครั้งสองครา น่าจะเป็นการจัดพอร์ตหุ้นของกลุ่มเจ้าของสัมปทานรถไฟฟ้า BTS เพื่อรอ “คนซื้อ” ที่ไม่ต้องการเปิดเผยตัวเอง
เพราะฉะนั้น จึงยังคงเป็นปริศนาต่อไปว่า CHIT LOM LIMITED เป็นของใครและทำไมถึงสนใจมาซื้อหุ้นเนชั่นในยามนี้
แต่ที่แน่ๆ ก็คือ ไม่ว่าใครก็ตามที่เป็นสปอนเซอร์ให้ “ต้อยไอโอ” หรือเข้ามาซื้อหุ้น “เนชั่น” ในโมงยามนี้ คงจะไม่แคล้วเป็น “ทุนการเมือง” จัดสรรอย่างแน่นอน
ที่สำคัญคือคงต้องถามตรงๆ ถามดังๆ ว่า ทีวีมืออาชีพอะไรมีแต่ “นอมินี” ทั้ง “ช่องเนฉาย” และ “ต้อยทีวี”