นายกฯ บอริส จอห์นสัน (หรือ Bojo แห่งสหราชอาณาจักร) ได้ประกาศให้วันแรกที่เปิดฉากรณรงค์ฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด เป็นวัน V-Day คือ เป็นวันวัคซีนนั่นเอง โดยเขาจะมีชื่อจารึกในประวัติศาสตร์ว่า เป็นผู้บริหารคนแรกของโลกที่นำวัคซีนมาแจกฟรีกับชาวอังกฤษ และลงทุนจ่ายค่าวัคซีนราคาแพงเพื่อซื้อจากบริษัทยายักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ คือ บริษัท ไฟเซอร์ ทั้งๆ ที่อังกฤษเองก็มีมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดได้ร่วมวิจัยกับบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า แต่ผลความสำเร็จยังดูคลุมเครือไม่ประกาศเปรี้ยงปร้างอย่างไฟเซอร์
ด้วยการที่นายบอริสมีความสามารถเอกอุทางด้านการใช้ภาษา (เพราะเคยเป็น บก.นสพ.ที่ต้องใช้ภาษาสละสลวยในอดีต) เขาจึงรังสรรค์คำใหม่ที่กระชับ และจดจำจับใจง่ายว่า V-Day โดยทำให้คนอังกฤษและชาวโลกคิดถึงรัฐบุรุษอาวุโสของเกาะอังกฤษ ท่านอดีตนายกฯ ลิ้นทองวินสตัน เชอร์ชิล ซึ่งเป็นหนึ่งในวีรบุรุษของโลกที่สามารถปราบจอมเผด็จการฮิตเลอร์ได้สำเร็จในสงครามโลกครั้งที่สอง โดยช่วงกำลังต่อสู้กับฮิตเลอร์นั้น ท่านได้พูดให้กำลังใจแก่กองทัพสัมพันธมิตรและประชาชนชาวอังกฤษว่า ธรรมะจะต้องชนะอธรรม (ของฮิตเลอร์) ซึ่งมีชัยชนะที่รออยู่ข้างหน้า (หลังการต้องอดทนกล้าแกร่งเพื่อฟันฝ่าอุปสรรคทั้งปวง รวมทั้งการสูญเสียเลือดเนื้อและชีวิตมากมายของชาวอังกฤษเมื่อถูกระเบิดระดมทิ้งลงมาทำลายมหานครลอนดอนอย่างย่อยยับ) โดยชูนิ้วเป็นรูปตัว V ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์แทนคำว่า “Victory” เพื่อให้กำลังใจว่า ฝ่ายอังกฤษและสัมพันธมิตรจะต้องได้รับชัยชนะในที่สุด และตัว “V” นี้ก็จะตรงกับภาษาบาลีสันสกฤตของโลกตะวันออก คือ คำว่า Vichaya หรือวิชัยหรือพิชัยนั่นเอง และถ้าเป็นชื่อผู้ชายก็จะเป็น Victor ส่วนผู้หญิงก็จะชื่อ Victoria
ดังนั้น Bojo จึงใช้สัญลักษณ์ “V” สำหรับวันวัคซีน ในขณะที่ความหมายของคำนี้ แฝงด้วยชัยชนะต่อโรคโควิดด้วย
สำหรับ Bojo ซึ่งกำลังมีเรื่องหนักๆ รออยู่ในอีก 3 สัปดาห์ คือ การตกลงรายละเอียดการออกจากสหภาพยุโรปในลักษณะอย่างไร ซึ่งยังมีประเด็นที่ยังไม่สามารถตกลงได้ ใหญ่ๆ ก็มีเรื่องการประมงในน่านน้ำของอังกฤษที่ทางนายกฯ บอริส จอห์นสัน ใช้เป็นข้อได้เปรียบในการเจรจาเชื่อมโยงกับประเด็นอื่นๆ ที่ทางสหภาพยุโรปดูจะแข็งกร้าว และไม่ยอมอ่อนข้อให้อังกฤษ...ซึ่งการประกาศ V-Day นี้ นายกฯ บอริส จอห์นสัน ได้ประกาศก่อนที่เขาจะเดินทางไปเจรจากับประธานคณะกรรมาธิการสหภาพยุโรป (เพราะมีการประชุมแบบ Virtural ถึง 2 ครั้ง แต่ตกลงกันไม่ได้...จึงต้องเจอกันที่บรัสเซลส์อย่างเห็นกันตัวเป็นๆ แบบ in-person)
ด้านหนึ่ง บอริส จอห์นสัน ก็ถือว่าตนได้เปรียบกว่าประเทศอื่นๆ ในสหภาพยุโรป เพราะอังกฤษได้เริ่มฉีดวัคซีนให้ประชาชนอังกฤษก่อนหน้ายุโรป ซึ่งกำลังสาหัสอยู่กับการระบาดรอบ 2 และต้องมีการล็อกดาวน์กันอีกครั้ง
หลัง Bojo ประกาศ V-Day ได้ 1 วัน ปธน.ทรัมป์แห่งทำเนียบขาว ก็ได้ประกาศจะจัดประชุม Vaccine Summit ที่ทำเนียบขาว ชนิดไม่ยอมน้อยหน้านายกฯ อังกฤษ
การประชุมสุดยอดวัคซีนของทรัมป์ครั้งนี้ ก็เพื่อประกาศว่า ทรัมป์คือ ผู้ได้รับชัยชนะด้านการต่อสู้กับโควิด เพราะเขาจะต้องให้ชาวอเมริกันและชาวโลกสำนึกในบุญคุณที่เขาเป็นผู้เร่งรัดให้มีการพัฒนาวัคซีน รวมทั้งการลัดขั้นตอนต่างๆ เพื่อให้อนุมัติวัคซีนนี้ออกมาต่อสู้กับโควิดโดยเร็ว
เขาย้ำเสมอว่า การสู้กับโควิดมีอยู่ทางเดียวคือ การค้นพบวัคซีนแล้วนำไปฉีดแก่ประชาชน โดยเขาปฏิเสธที่จะออกคำสั่งให้สวมหน้ากาก ล้างมือฆ่าเชื้อ หรือรักษาระยะห่างทางสังคม เพราะเขาให้น้ำหนักไปเรื่องวัคซีนอย่างเดียว
ดังนั้น เมื่อวัคซีนผ่านการอนุมัติด่วน (ที่สหราชอาณาจักรอนุมัติด่วนมาก และเร่งแซงหน้าสหรัฐฯ เสียอีก เพราะทรัมป์ไม่มีแผนรูปธรรมกับการจัดการกับวัคซีนอย่างที่ทีมว่าที่ปธน.ไบเดน ได้ตระเตรียมแผนอย่างละเอียด และรัดกุมกว่า)
ในเมื่อว่าที่ปธน.ไบเดน ตั้งทีมดูแลโควิดอย่างด่วน และกำลังออกรายละเอียดกฎเกณฑ์ต่างๆ ใน 100 วันแรกที่เข้ารับหน้าที่จะต้องบังคับให้สวมหน้ากาก; ล้างมือฆ่าเชื้อ และรักษาระยะห่าง พร้อมกับแผนการส่งมอบวัคซีนไปยังรัฐต่างๆ อย่างรวดเร็วและรัดกุม พร้อมๆ กับการตัดสินว่า กลุ่มคนประเภทใดที่ควรได้รับการฉีดวัคซีนก่อนกลุ่มอื่นๆ
จึงกดดันให้ทรัมป์ต้องออกมารีบจัดประชุมสุดยอดวัคซีน โดยเชิญบริษัทยาหลายเจ้าที่ค้นคว้าเรื่องวัคซีน รวมทั้งบริษัทที่จะรับผลิตวัคซีนอย่างเป็นจำนวนพันๆ ล้านโดส และเหล่าบุคลากรทางการแพทย์ที่จะเป็นผู้ดูแลจัดการฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชน และต้องมีบริษัทที่จะขนส่งวัคซีน ซึ่งจะต้องมีวิธีการเก็บรักษาในช่วงการเดินทางของวัคซีน และตลอดจนการไม่ถูกโจรกรรมในระหว่างการลำเลียงวัคซีนด้วย
ปรากฏว่า บริษัท ไฟเซอร์ (เป็นเจ้าแรกที่ออกมาประกาศว่าประสบผลสำเร็จในการค้นคว้าทดลองด้วยความสำเร็จถึง 95%) ได้ตอบปฏิเสธที่จะเข้าร่วมการประชุมสุดยอดด้านวัคซีนที่ทำเนียบขาว
ซึ่งบางคนอาจจะคาดเดาเอาเองว่า เพราะไฟเซอร์ได้มีวิวาทะเล็กน้อยกับทรัมป์ในช่วงที่ไฟเซอร์ออกมาบอกข่าวดีเรื่องค้นพบวัคซีนเป็นเจ้าแรก...แล้วทางปธน.ทรัมป์ได้รีบออกมาเอาเครดิต โดยจัดแถลงข่าวที่ทำเนียบขาว และบอกว่า รัฐบาลอเมริกันภายใต้การบริหารของเขา ได้จ่ายเงินส่วนหนึ่งมอบให้ไฟเซอร์ในการเร่งค้นพบวัคซีน จนถึงประสบผลสำเร็จเป็นเจ้าแรกที่ค้นพบ...แต่อนิจจา...บริษัทยายักษ์ไฟเซอร์ กลับมีการแถลงว่า บริษัท ไฟเซอร์ ไม่ได้รับการช่วยเหลือแต่อย่างใดจากรัฐบาลทรัมป์ เพียงแค่รัฐบาลทรัมป์ได้จ่ายเงินก้อนหนึ่งเพื่อจองซื้อวัคซีนในกรณีที่บริษัท ไฟเซอร์ จะประสบความสำเร็จในการค้นพบวัคซีน...ทำเอาทรัมป์ไม่พอใจมาก
ปรากฏว่า ทางไฟเซอร์ได้ออกมาแถลงว่า ที่ขอปฏิเสธไม่ไปร่วมประชุมสุดยอดวัคซีนที่จะจัดโดยทำเนียบขาว ก็เพราะบริษัท ไฟเซอร์ ไม่อยากยุ่งเกี่ยวเป็นฝักฝ่ายทางการเมือง...ขอเป็นกลางทางการเมืองนั่นเอง!
และบริษัทยา Moderna ก็เป็นอีกบริษัทที่ขอปฏิเสธไม่ไปร่วมประชุม V-Summit ด้วยเช่นกัน
นอกจาก V-Summit ที่ทำเนียบขาวแล้ว ปธน.ทรัมป์ยังจะทิ้งทวนด้วยการออกคำสั่งฝ่ายบริหาร (Executive Order) ซึ่งคล้ายๆ กับกฤษฎีกาที่จะเน้นหลักการ America First คือ อเมริกาต้องการก่อน...ในด้านการนำวัคซีนที่ผลิตโดยบริษัทอเมริกันต้องนำมาใช้กับประชาชนอเมริกัน ก่อนส่งไปให้กับประเทศอื่น
ซึ่งก็คล้ายๆ กับตอนเดือนเมษาฯ ที่เกิดการระบาดรอบแรกที่สหรัฐฯ และอุปกรณ์ทางการแพทย์สำคัญๆ คือ หน้ากาก, เจลล้างมือฆ่าเชื้อ, PPE, เครื่องช่วยหายใจเกิดการขาดแคลนอย่างหนักในสหรัฐฯ โดยบริษัทอเมริกัน เช่น 3M ได้ขายผลิตภัณฑ์เหล่านี้ (ที่ผลิตที่จีน) ไปให้แก่ลูกค้าในต่างประเทศทั่วโลก...
จนพรรคเดโมแครตได้เร่งรัดให้ทรัมป์นำเอากฎหมายความมั่นคงฉบับเก่าแก่มาใช้ เพื่อห้ามบริษัทอเมริกันส่งสินค้าที่เป็นยุทโธปกรณ์ที่ตนผลิตได้ จะต้องผลิตเพื่อนำมาใช้ภายในประเทศสหรัฐฯ ให้เพียงพอเสียก่อนจะส่งออก... จนทำให้ รมต.คลังประเทศเยอรมนีถึงกับโกรธสุดๆ เพราะได้จ่ายเงินสดให้บริษัท 3M เพื่อซื้ออุปกรณ์การแพทย์เหล่านี้ให้ประเทศเยอรมนี แล้วบริษัท 3M ก็ถูกคำสั่งบริหารของทรัมป์ให้ระงับการส่งมอบสินค้าให้กับเยอรมนี แต่ให้นำสินค้าที่กำลังจัดส่งให้เยอรมนีหันกลับมาส่งที่สหรัฐฯ แทน...จนถึงวันนี้ ทางการเยอรมนียังไม่หายโกรธทรัมป์ในเรื่องนี้
จึงเป็นนโยบาย America First ชนิดที่นำมาใช้หลังจากบริษัทอเมริกันได้ไปตกลงทำสัญญาจะส่งมอบสินค้าให้ลูกค้า (รัฐบาลต่างประเทศ) ก่อนที่กฤษฎีกานี้จะออกมาเสียอีก
นับเป็นเหตุการณ์ทิ้งทวนของทรัมป์ในช่วงที่กำลังนับถอยหลังจากการเดินลงจากอำนาจของเขา ที่ต้องการฉกฉวยเอาเครดิตในงานบริหารเพื่อสู้โควิดที่ทำให้ทั้งยอดคนตายและติดเชื้อเป็นที่หนึ่งของโลก แต่ก็ต้องการกลบความอับอายของการบริหารที่ล้มเหลวสิ้นเชิงในการรับมือกับโควิด ด้วยการนำการค้นพบวัคซีนออกมาเรียกบุญคุณในครั้งนี้ เพื่อปูทางสำหรับการประกาศลงสมัครในอีก 4 ปีข้างหน้าด้วย