สภาวะเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักรกำลังประสบภาวะถดถอยอย่างรุนแรงภายในรอบกว่า 300 ปี และถ้าไม่สามารถบรรลุข้อตกลงด้านการค้ากับประชาคมยุโรปได้ ก็จะทำให้ความพยายามฟื้นฟูเศรษฐกิจเป็นไปอย่างยาวนาน ยากเย็นแสนเข็ญ
สำนักงานความรับผิดชอบด้านงบประมาณ ซึ่งเป็นหน่วยงานติดตามสภาวะการคลังของสหราชอาณาจักรได้ระบุอีกด้วยว่า ยิ่งถ้าไม่มีข้อตกลงเรื่องเบร็กซิต ด้านผลผลิตจะลดลง 2 เปอร์เซ็นต์ในปีหน้า ซึ่งนับว่าเป็นอัตราที่น่ากังวลไม่น้อย
และยังคาดการณ์อีกว่าขนาดเศรษฐกิจของประเทศจะหดตัว 1.5 เปอร์เซ็นต์ภายใน 5 ปี เมื่อเทียบกับความเป็นไปได้ ถ้านายกรัฐมนตรี นายบอริส จอห์นสัน สามารถบรรลุข้อตกลงเบร็กซิตกับกลุ่มประเทศในประชาคมยุโรป
ประเด็นที่ยังคั่งค้างอยู่นั้น เกี่ยวกับด้านสิทธิในการทำประมง ความช่วยเหลือของรัฐบาลสำหรับบริษัทเอกชน และวิธีการตกลงกันในกรณีมีข้อพิพาทระหว่างกัน ซึ่งเป็นประเด็นที่นายกฯ จอห์นสันต้องตัดสินใจว่าจะยึดในประเด็นอธิปไตยหรือไม่
ถ้ายังต้องการอธิปไตยสมบูรณ์สำหรับ 3 ประเด็นดังกล่าว ก็ต้องประเมินว่ามีคุณค่าเพียงพอหรือไม่สำหรับผลที่จะตามมาด้านเศรษฐกิจในกรณีการเจรจาล้มเหลว
ยังมีประเด็นเกี่ยวกับภาษีศุลกากร โควตาการส่งออก ความล่าช้าในกระบวนการค้า และกำแพงด้านการค้าอื่นๆ ที่จะทำให้อังกฤษฟื้นตัวจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างล่าช้า อันเนื่องมาจากวิกฤตการระบาดของโควิด-19
อังกฤษประสบปัญหาการระบาดของโควิด-19 มานานเกือบ 1 ปีแล้วมียอดผู้เสียชีวิตสูงเป็นอันดับ 5 ของโลก จำนวนเกือบ 6 หมื่นราย ยอดติดเชื้อโดยรวมตั้งแต่การระบาดมีสูงถึง 1.6 ล้านคน นับว่าสูงในกลุ่มประเทศยุโรป
อังกฤษยังอยู่ในสภาวะล็อกดาวน์ แต่ละวันมีการระบาด คนติดเชื้อกว่า 2 หมื่นราย ส่งผลกระทบมากมาย การใช้ชีวิตอย่างยากลำบากทำให้ประชาชนออกมาประท้วงมาตรการเข้มข้นบนถนน และมีผู้ถูกจับกุมตัวไปมากกว่า 250 ราย
ปัญหาการว่างงานก็ยังยืดเยื้อ และอาจเพิ่มอีก 1 เปอร์เซ็นต์ถ้าไม่สามารถบรรลุข้อตกลง และแก้ปัญหาโควิด-19 ไม่สำเร็จ และการค้าไม่ราบรื่น ทั้งจะมีปัญหาการทำงานข้ามชายแดน ซึ่งจะทำได้ไม่ง่ายเหมือนช่วงอังกฤษยังอยู่ในกลุ่มอียู
จอห์นสันมีเวลาเหลือไม่มากนักสำหรับการบรรลุข้อตกลงด้านการค้าฉบับใหม่กับประชาคมยุโรป แม้กระนั้น ประเทศก็ยังประสบปัญหาเศรษฐกิจถ้าบรรลุข้อตกลงแล้ว เป็นที่คาดว่าตัวเลข จีดีพีจะตกต่ำมากถึง 11.3 เปอร์เซ็นต์ในปีนี้
นั่นหมายถึงอัตราลดลงมากที่สุดตั้งภาวะวิกฤตในยุคปี 1709 ซึ่งยุโรปประสบความหนาวจัดในรอบ 500 ปี ส่งผลให้มีคนเสียชีวิตมากมายและความเสียหายด้านผลผลิตการเกษตร มีทั้งความขาดแคลนอาหาร เครื่องนุ่งห่ม เป็นหายนะร้ายแรง
หรือแม้จะมีข้อตกลงด้านเบร็กซิต สำนักงานรับผิดชอบงบประมาณระบุว่าเศรษฐกิจของประเทศจะมีบาดแผลลึก และทำให้ภาคการผลิตลดลงถึง 3 เปอร์เซ็นต์ ในสภาวะที่การควบคุมการระบาดของโควิด-19 ได้ผลจนถึงช่วงฤดูใบไม้ผลิ
ในวันพุธที่ผ่านมา รัฐมนตรีคลัง นายริชี่ สุนัค ได้เปิดเผยแผนงบประมาณการใช้จ่ายจำนวน 4.3 พันล้านปอนด์ เพื่อป้องกันปัญหาการว่างงานด้วยมาตรการต่างๆ เช่นเงินอุดหนุนการทำงานของคนหนุ่มสาว เพิ่มความสามารถของหน่วยสนับสนุน
เป็นที่คาดว่าอัตราการว่างงานจะสูง 7.5 เปอร์เซ็นต์ในไตรมาส 2 ของปีหน้า เท่ากับว่าจะมีคนว่างงานมากถึง 2.6 ล้านคน ซึ่งเทียบแล้วจะมีเพิ่ม 1 ล้านคนจากสภาวะปัจจุบัน
ถ้าไม่มีข้อตกลงเบร็กซิต คนว่างงานจะสูง 8.3 เปอร์เซ็นต์ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2021 ทำให้การฟื้นตัวจากการระบาดของโรคโควิด-19 จะล่าช้าจนกระทั่งไตรมาสที่ 3 ของปี 2023 แทนที่จะเกิดขึ้นในช่วงปลายปี 2022
“ภาวะฉุกเฉินเกี่ยวกับด้านสุขภาพยังไม่จบสิ้น และภาวะฉุกเฉินด้านเศรษฐกิจก็เพิ่งจะเริ่มต้น” นั่นเป็นคำชี้แจงของนายสุนัคต่อสภาผู้แทนราษฎร ขณะเดียวกัน รัฐบาลกำลังใช้จ่ายเงิน 280 พันล้านปอนด์เพื่อสนับสนุนมาตรการต่างๆ
นายสุนัคระบุว่า “ทั้งนี้เพื่อให้ผ่านวิกฤตเกี่ยวกับการระบาดของโรคโควิด-19”
ด้านความสัมพันธ์การค้าระหว่างสหราชอาณาจักร และกลุ่มประชาคมยุโรปมีมูลค่าเกือบ 900 พันล้านดอลลาร์ ผู้ว่าการธนาคารอังกฤษ นายแอนดรูว์ เบลีย์ เตือนว่าความเสียหายของเศรษฐกิจจากการไม่มีข้อตกลงเบร็กซิตจะร้ายแรงกว่าโควิด-19
นายเบลีย์ยังเตือนในถ้อยแถลงต่อคณะกรรมการด้านการคลังอีกว่า จะต้องใช้เวลายาวนานสำหรับเศรษฐกิจที่จะต้องปรับตัวเพื่อรับความเปลี่ยนแปลงในความผันผวนของสภาวะการค้า ทั้งการเปิดการค้าและการปรับเปลี่ยน
ถ้าอังกฤษและประชาคมยุโรปมีข้อตกลงด้านการค้า บริษัทในอังกฤษยังต้องมีปัญหาเรื่องต้นทุนเพิ่มขึ้นในการทำธุรกิจ ทั้งในด้านการตรวจสอบสินค้าจุดผ่านชายแดน และพิธีการศุลกากรรวมถึงระเบียบต่างๆ ที่ไม่เคยมีก่อนหน้านี้
ปัญหานี้จะมีพร้อมกับวิกฤตอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบอันเนื่องมาจากการระบาดของโควิด-19 ที่มีต่อสภาวะการค้า การลงทุน และจะทำให้อังกฤษต้องพึ่งพาสหรัฐอเมริกายิ่งขึ้น ซึ่งจะไม่ง่ายนักในยุคของประธานาธิบดีโจ ไบเดน