เอเจนซีส์ – สหรัฐฯมีผู้ติดเชื้อโรคโควิด-19 สะสมทะลุ 12 ล้านคน เพิ่มขึ้น 1 ล้าน ภายในเวลาแค่ 6 วัน ขณะที่คาดหมายกันว่า ชาวอเมริกันจำนวนเป็นล้านๆ คน จะพากันเดินทางเพื่อไปฉลองเทศกาลวันหยุดขอบคุณพระเจ้า ซึ่งกำลังเวียนมาถึง โดยไม่สนใจคำเตือนจากพวกเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในเรื่องจะส่งผลทำให้ไวรัสโคโรนามรณะยิ่งแพร่ระบาดออกไปอีก
เว็บไซต์ติดตามโควิด-19 ที่ได้รับความเชื่อถืออย่างสูง อย่างมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ และสื่อมวลชนอย่างสำนักข่าวรอยเตอร์ ต่างรายงานว่า สหรัฐฯซึ่งเป็นประเทศแชมป์โลกเรื่องจำนวนผู้ติดเชื้อสะสมนั้น มีจำนวนเคสเข้าสู่หลัก 12 ล้านคนแล้วในวันเสาร์ (21 พ.ย.) หรือเพียงแค่ 6 วันหลังจากผ่านหลัก 11 ล้านราย
รอยเตอร์บอกด้วยว่า ข้อมูลแสดงให้เห็นว่าฝีก้าวการติดเชื้อรายใหม่ในอเมริกากำลังกระชั้นเร็วขึ้น เพราะตอนที่ผ่านจาก 10 ล้านเป็น 11 ล้านรายนั้น ใช้เวลา 8 วัน และจาก 9 ล้านเป็น 10 ล้านใช้เวลา 10 วัน
จากการระบาดรุนแรงขึ้น รวมทั้งยอดผู้เสียชีวิตสะสมซึ่งมีมากกว่า 255,000 รายแล้ว ทำให้มีมากกว่า 20 รัฐจาก 50 รัฐของสหรัฐฯ ประกาศใช้มาตรการใหม่ๆ ในการควบคุมโรคอย่างเข้มงวดและกว้างขวางกันในเดือนนี้
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ศูนย์เพื่อการควบคุมและการป้องกันโรคของสหรัฐฯ (ซีดีซี) ออกมาเรียกร้องให้ประชาชนงดเว้นการเดินทาง ซึ่งอาจเป็นช่องทางทำให้โรคยิ่งแพร่กระจาย แต่คนอเมริกันจำนวนมากยังคงมุ่งหน้าไปสนามบิน เพื่อเดินทางกลับไปฉลองเทศกาลขอบคุณพระเจ้ากับครอบครัว โดยวันขอบคุณพระเจ้าในสหรัฐฯปีนี้ตรงกับวันพฤหัสบดี (26) นี้
ข้อมูลจากสำนักงานความปลอดภัยในการขนส่งของสหรัฐฯระบุว่า วันศุกร์ (20) ที่ผ่านมา มีชาวอเมริกันเดินทางด้วยเครื่องบินกว่า 1 ล้านคน ถือเป็นครั้งที่ 2 นับแต่เกิดวิกฤตโรคระบาดครั้งนี้ ที่ตัวเลขนักเดินทางในวันเดียวทะลุ 1 ล้านคน
ทั้งนี้ วันศุกร์ยังเป็นวันที่อเมริกาพบเคสใหม่ในวันเดียวสูงสุดถึง 196,815 คน
พวกผู้ว่าการ 7 รัฐในแถบมิดเวสต์ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีผู้ติดเชื้อต่อหัวเพิ่มขึ้นมากที่สุดในขณะนี้ เรียกร้องให้ประชาชนปฏิบัติตามคำแนะนำของซีดีซี และไม่ฉลองเทศกาลขอบคุณพระเจ้ากับบุคคลอื่นที่ไม่ใช่สมาชิกครอบครัว
ขณะที่มีบางรัฐออกคำสั่งเข้มงวดใหม่ๆ เช่น แคลิฟอร์เนียที่ห้ามประชาชนออกจากบ้านระหว่าง 22.00 น ถึง 05.00 น.
ผู้ว่าการหลายรัฐยังกล่าวถึงวัคซีนของไฟเซอร์กับไบโอเอ็นเทคที่มีประสิทธิภาพในการต่อต้านไวรัสโคโรนามากกว่า 90% และทั้งสองบริษัทยื่นขออนุมัติการใช้ฉุกเฉินจากผู้คุมกฎในอเมริกาและยุโรปแล้วเมื่อวันศุกร์ อย่างไรก็ดี คาดกันว่า กว่าจะมีการผลิตวัคซีนมากเพียงพอที่จะแจกจ่ายให้ประชาชนทั่วไปได้ คงจะต้องถึงปีหน้า
ขณะเดียวกัน เมื่อวันเสาร์ สำนักงานอาหารและยาสหรัฐฯ (เอฟดีเอ) ได้อนุมัติฉุกเฉินให้ใช้สูตรยาร่วมของรีเจเนอรอนที่มีส่วนประกอบของสารภูมิต้านทาน 2 ชนิดที่พัฒนาขึ้นภายในห้องวิจัย เพื่อรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีโรคประจำตัว ถือเป็นยารักษาโควิด-19 ที่ใช้สารภูมิต้านทานตัวที่ 2 ที่ได้รับอนุมัติฉุกเฉินจากเอฟดีเอ ตัวแรกคือยาของเอลี ลิลลี ที่ได้รับอนุมัติเมื่อวันที่ 9 ที่ผ่านมา
ทางด้านยุโรป นายกรัฐมนตรี บอริส จอห์นสัน ของอังกฤษ เตรียมประกาศยกเลิกมาตรการล็อกดาวน์ทั่วประเทศในวันที่ 2 ธันวาคมตามที่กำหนดไว้ และจะเปลี่ยนไปใช้มาตรการจำกัด 3 ขั้นโดยพิจารณาจากสถานการณ์การระบาดในแต่ละพื้นที่แทน
ในวันอาทิตย์ (22) เดวิด นาบาร์โร ผู้แทนพิเศษด้านโควิด-19 ขององค์การอนามัยโลก (WHO) คาดว่า ยุโรปจะเผชิญการระบาดระลอก 3 ต้นปีหน้า ถ้าภาครัฐยังคงล้มเหลวในการใช้มาตรการที่จำเป็นในการสกัดการระบาด เหมือนเช่นในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมาซึ่งส่งผลให้ไวรัสโคโรนากลับมาระบาดรอบสองในขณะนี้
อัตราการติดเชื้อในยุโรปที่ลดลงในช่วงสั้นๆ กลับมาพุ่งทะยานอีกครั้ง โดยเมื่อวันเสาร์ เยอรมนี และฝรั่งเศส พบเคสใหม่รวมกัน 33,000 คน สวิตเซอร์แลนด์และออสเตรียมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นวันละหลายพันคน และตุรกีรายงานผู้ติดเชื้อใหม่สูงสุดทำสถิติที่ 5,532 คน
ในทางกลับกัน นาบาร์โรชมมาตรการรับมือในเอเชีย เช่น เกาหลีใต้ที่จำนวนผู้ติดเชื้อปัจจุบันยังถือว่าค่อนข้างต่ำ เนื่องจากประชาชนให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ ทั้งการรักษาระยะห่าง สวมหน้ากาก กักตัวผู้ป่วย ล้างมือและทำความสะอาดพื้นผิว และย้ำว่า เอเชียไม่ได้ผ่อนคลายมาตรการจำกัดก่อนเวลาอันควร
ที่เกาหลีใต้เองนั้น เมื่อวันอาทิตย์ พัค นึงฮู รัฐมนตรีสาธาณสุขเกาหลีใต้ แถลงว่า ขณะนี้ประเทศกำลังเผชิญการระบาดระลอกสามของโควิด-19 ขณะที่สำนักงานควบคุมและป้องกันโรคแห่งเกาหลี (เคดีซีเอ) รายงานว่า พบผู้ติดเชื้อใหม่รายวัน 330 คนในวันเสาร์ ซึ่งถือเป็นวันที่ 5 ติดต่อกันที่มีเคสใหม่วันละกว่า 300 คน
พัคเสริมว่า กรุงโซลและพื้นที่ใกล้เคียงจะสั่งปิดบาร์และไนต์คลับ จำกัดการรวมกลุ่มประกอบพิธีทางศาสนา และจำกัดการให้บริการของร้านอาหาร และสำทับว่า การระบาดทั่วประเทศก่อนหน้านี้มีต้นตอมาจากการติดเชื้อแบบกลุ่มก้อนในพื้นที่ที่มีประชากรหนาแน่นในกรุงโซล
เจ้าหน้าที่คนหนึ่งของเคดีซีเอยังเตือนว่า เกาหลีใต้อาจเผชิญการระบาดทั่วประเทศที่รุนแรงกว่าการระบาดสองครั้งแรก หากไม่สามารถสกัดการแพร่เชื้อในขณะนี้ได้
ทางด้านญี่ปุ่น ยาสึโตชิ นิชิมูระ รัฐมนตรีเศรษฐกิจเผยเมื่อวันอาทิตย์ว่า รัฐบาลอาจฟื้นมาตรการจำกัดจำนวนผู้ชมการแข่งขันกีฬาหรือกิจกรรมขนาดใหญ่อื่นๆ ในพื้นที่ที่มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นจำนวนมาก รวมทั้งกำลังพิจารณาคืนเงินให้ลูกค้าที่สำรองการเดินทางผ่านแคมเปญส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศของรัฐบาลที่ถูกระงับไปบางส่วนเมื่อวันเสาร์
สถานีเอ็นเอชเครายงานว่า จำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ในญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นทำสถิติใหม่ที่ 2,596 คนในวันเสาร์ เฉพาะโตเกียวเพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 539 คน