รอยเตอร์/เอเจนซีส์/mgrออนไลน์ – ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย แกวิน นิวซอม สั่งเคอร์ฟิวกลางคืน ห้ามประชาชนออกจากบ้านระหว่าง 22.00-05.00 น. เริ่มใช้จริงตั้งแต่วันเสาร์ (21 พ.ย.) ส่วนรัฐโอไฮโอออกคำสั่งเคอร์ฟิวกลางคืนช่วงเวลาเดียวกันยาวติดต่อ 21 วันเต็ม สกัดการแพร่ระบาดโควิด-19 ด้านองค์การอนามัยโลก WHO สั่งห้ามใช้ยาเรมเดซีเวียร์ (remdesivir) รักษาในโรงพยาบาล ขณะที่นักข่าวสาวชื่อดังของ MSNBC เปิดใจระหว่างกักตัวโควิด-19 ชี้เชื้อไวรัสร้ายเกือบสังหารคู่ชีวิต ชี้ ให้อเมริกันชนประจักษ์ในเวลานี้ไม่มีที่ในโรงพยาบาลสำหรับคุณแล้ว
รอยเตอร์รายงานวันนี้ (20 พ.ย.) ว่า สหรัฐฯในวันศุกร์ (20) มียอดผู้เสียชีวิตล่าสุด 252,555 ราย ติดเชื้อรวมทั้งหมด 11,717,951 ราย ขณะที่ทั่วโลกมีผู้เสียชีวิตรวม 1,361,411 คน และติดเชื้อทั่วโลกไปแล้ว 56,957,514 คน
วันพฤหัสบดี (19) ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย แกวิน นิวซอม ออกคำสั่งเคอร์ฟิวในรัฐห้ามออกจากบ้านช่วงระหว่าง 22.00-05.00 น. ของแต่ละวันโดยจะเริ่มต้นใช้ในคืนวันพรุ่งนี้ (21) เป็นต้นไป และจะสิ้นสุดในวันที่ 21 ธ.ค ที่จะถึงนี้
รอยเตอร์ชี้ว่า คำสั่งเคอร์ฟิวจะถูกบังคับใช้ 41 เคาน์ตีจากทั้งหมด 58 เคาน์ตี และส่วนใหญ่ของประชากรทั้งหมดของรัฐ
นิวซอมกล่าวผ่านแถลงการณ์ว่า “ไวรัสกำลังแพร่ระบาดในความเร็วที่พวกเราไม่เคยเห็นมาก่อน นับตั้งแต่การเริ่มต้นของการระบาด และอีกไม่กี่วันและสัปดาห์จะถือเป็นช่วงสำคัญในการหยุดการเพิ่มแพร่ระบาด”
ทั้งนี้ ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียก่อนหน้าเกิดปัญหาหลังจากเขาถูกเปิดเผยทางสาธารณะว่า ได้แอบเข้าร่วมงานเลี้ยงที่ไม่มีการเว้นระยะห่างทางสังคมหรือสวมหน้ากากอนามัย
ด้านผู้ว่าการรัฐโอไฮโอ ไมค์ ดีไวน์ (Mike DeWine) เมื่อวานนี้ (19)ได้ออกคำสั่งเคอร์ฟิวเวลากลางคืนเป็นเวลา 21 วันติดต่อกัน
ช่วงเวลาเคอร์ฟิวของรัฐโอไฮโออยู่ช่วงระหว่าง 22.00-05.00 น. เหมือนเช่นของรัฐแคลิฟอร์เนีย และถึงแม้ทั้ง 2 รัฐจะประกาศใช้เคอร์ฟิว แต่ทว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อร้านซูเปอร์มาร์เก็ตที่จะยังคงเปิดหลัง 22.00 น. ไปแล้ว หรือร้านอาหารที่สามารถยังคงเปิดดึกเพื่อรอรับลูกค้า
ประชาชนยังคงสามารถออกไปด้านนอกเพื่อสามารถหาซื้ออาหาร ยารักษาโรค รวมไปถึงการจ๊อกกิ้ง หรือจูงสุนัขเพื่อออกกำลังกาย
ด้านศูนย์ควบคุมโรคและการป้องกันสหรัฐฯ CDC เมื่อวานนี้ (19) ได้ออกคำแนะนำไม่ให้ชาวอเมริกันเดินทางในช่วงเทศกาลวันหยุดขอบคุณพระเจ้าที่มักจะถือโอกาสนี้เดินทางไปเยี่ยมครอบครัวเพื่อร่วมรับประทานอาหารและการพักผ่อน
และในวันพฤหัสบดี (19) ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯคนใหม่ โจ ไบเดน ได้ประชุมวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ร่วมกับกลุ่มสมาชิกของ 2 พรรคที่มีผู้ว่าการรัฐจาก 10 รัฐเข้าร่วม โดยในการประชุมได้มีการถกเถียงถึงการออกคำสั่งบังคับสวมหน้ากากอนามัย โดยไบเดนชี้ว่า เขาต้องการทำโดยถือเป็นหน้าที่ความรักชาติ
และไบเดนยังย้ำว่า เขายังไม่มีแผนจะสั่งล็อกดาวน์ทางเศรษฐกิจในเวลานี้
จำนวนตัวเลขผู้ป่วยเข้ารับการรักษาโควิด-19 ในสหรัฐฯได้พุ่งสูงเกือบ 50% ภายในแค่ 2 สัปดาห์ และมาจนถึงเมื่อวานนี้ (19) มีจำนวนผู้ป่วยกว่า 80,000 คนรักษาตัวในโรงพยาบาลทั่วสหรัฐฯ
วันพฤหัสบดี (19) นักจัดรายการชื่อดังทางสถานีโทรทัศน์ MSNBC ราเชล แมดโดว์ (Rachel Maddow) ได้กลับมาปรากฎตัวผ่านหน้าจอเป็นครั้งแรกหลังหายไปร่วม 2 สัปดาห์ เธอได้เปิดเผยว่าคู่ชีวิตคือ ซูซาน มิคูลา (Susan Mikula) ติดเชื้อโควิด-19 และในจุดหนึ่งนักจัดรายการคุยข่าวสหรัฐฯชี้ว่า เธอคิดว่าโควิด-19อาจจะฆ่าคู่ชีวิตของเธอไป
แมดโดว์เปิดเผยว่า สำหรับตัวเธอ เธอมีผลการตรวจเชื้อเป็นลบแต่ยังคงต้องกักตัวตามคำแนะนำต่อไปจนกว่าจะมั่นใจว่าจะไม่แพร่เชื้อให้เพื่อนร่วมงานคนอื่นในสตูดิโอ และในรายการยังได้ร้องขอให้ผู้ติดตามผ่านหน้าจอชาวอเมริกันหันมาทบทวนการใช้ชีวิตใหม่ “ขอให้ทำทุกสิ่งที่ทำได้เพื่อที่จะไม่ต้องติดเชื้อ” นอกจากนี้ยังเตือนผ่านไปยังชาวสหรัฐฯว่า “ในเวลานี้ไม่มีที่สำหรับคุณในโรงพยาบาลแล้ว” CBS News รายงาน
ด้าน องค์การอนามัยโลก WHO ออกมาเตือนถึงการใช้ยาเรมเดซีเวียร์ (remdesivir) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าไม่สมควรนำยาตัวนี้รักษาคนไข้โควิด-19ในโรงพยาบาลเนื่องมาจากไม่มีหลักฐานพิสูจน์ว่าสามารถรักษาได้จริง
นอกจากนี้ ปัญหาของยาเรมเดซีเวียร์ (remdesivir) ที่เป็นของบริษัทยาสหรัฐฯ Gilead นั้นมีราคาแพงมาก โดยคำแนะนำของ WHO ที่ถูกตีพิมพ์วารสารการแพทย์อังกฤษสรุปว่า คนไข้ส่วนใหญ่ไม่ต้องการการรักษาด้วยยาเรมเดซีเวียร์ที่ให้ผ่านทางหลอดเลือดที่แสดงหลักฐานความแน่นอนต่ำ ส่วนผลดีของการใช้ยาตัวนี้นั้นมีน้อยและเป็นไปได้ที่มีผลร้ายอาจจะเกิดขึ้น