มาถึงขั้นนี้...คงต้องยอมอย่างมิอาจปฏิเสธได้นั่นแหละว่า “ชัยชนะ” ของชายชรา อย่าง “โจซึมเซา” ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกาคราวนี้ เล่นเอาใครต่อใครในโลกนี้จำนวนมิใช่น้อย ชักออกอาการ “มึนซ์ซ์ซ์” กันไปเป็นแถบๆ ไม่ว่าจะเป็นคุณปู่อิสราเอลอย่างที่ยกตัวอย่างไปแล้วเมื่อวานนี้ ไล่มาถึงพี่เบิ้มแห่งตะวันออกกลางอย่างซาอุดีอาระเบีย และรัฐบริวารอย่างยูเออี ไปจนแม้แต่เกาะเล็กๆ ในแถบทะเลจีนใต้ อย่างไต้หวัน ก็ยังอดที่จะ “อึ้ง-กิม-กี่” ขึ้นมามิได้!!!
อิสราเอลนั้น...อย่างที่ว่าเอาไว้แล้ว ว่าโอกาสที่จะเกิดการหวนกลับไปสู่การไตร่ตรอง และพิจารณาข้อตกลงปัญหานิวเคลียร์กับอิหร่าน หรือ “JCPOA” อันเป็นข้อตกลง ที่คุณพ่ออเมริกาเคยมีส่วน “เห็นควรด้วย” ร่วมกับอังกฤษ เยอรมนี ฝรั่งเศส จีนและรัสเซีย ในยุค “โอมาบ้า” เป็นประธานาธิบดี โดยมี “โจซึมเซา” เป็นรองประธานาธิบดี ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เอาซะเลย แม้ว่าอาจไม่ถึงกับง่าย หรืออาจต้องใช้ “เวลา” อยู่บ้างตามสมควร และนั่นเอง...ที่ทำให้ศัตรูคู่กัด คู่อาฆาตของอิหร่าน อย่างบรรดาชาวยิวหรือบรรดาลูกหลานกษัตริย์ “ดาวิดและโซโลมอน” ทั้งหลาย ชักเริ่มออกอาการ “หลับไม่ลง” กันไปเป็นแถบๆ...
ถึงขั้น...ถ้าว่ากันตาม “ข่าวล่า-มาเรือ” หรือตาม “รายงานข่าว” ของ “นายBarak Ravid” สื่อมวลชนรายสำคัญของหนังสือพิมพ์ “Axios” แห่งอิสราเอล จะโดยการสั่งการของ “ทรัมป์บ้า” หรือผู้หนึ่ง ผู้ใดก็แล้วแต่ ถึงกับต้องมอบหมายให้ “นายElliot Abrams” นีโอ-คอนตัวฉกาจ ที่รัฐบาลอเมริกันเคยส่งไป “ป่วน” ประเทศเวเนซุเอลาก่อนหน้านี้ ออกเดินทางไปเยือนประเทศอิสราเอลเมื่อช่วงวันอาทิตย์ (8 พ.ย.) ที่ผ่านมา เพื่อพบปะกับนายกรัฐมนตรี “เนทันยาฮู” ของอิสราเอล รวมทั้งที่ปรึกษาความมั่นคง อย่าง “นายMeir Ben-Shabbat” เพื่อตอกย้ำความมั่นอกมั่นใจ ในการสร้างอุปสรรคขัดขวางต่อความเป็นไปได้ในการหวนกลับไปสู่ข้อตกลง “JCPOA” ของรัฐบาลอเมริกันในอนาคตเบื้องหน้า รวมทั้งการเดินหน้า “แซงชั่น” ขั้นสูงสุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ต่ออิหร่าน อย่างไม่คิดจะลด-ละ-เลิก แต่อย่างใด จากนั้น...ถึงค่อยต่อไปเยือนยูเออี และซาอุดีอาระเบีย ตามลำดับ...
คือถ้ามองจากคำพูด คำจา ของ “ผู้เฒ่าโจ” ในช่วงระหว่างการรณรงค์หาเสียงที่ผ่านมา บรรดาลูกหลานชาวยิวจำนวนไม่น้อย ก็น่าจะ “หลับไม่ลง” อยู่พอสมควร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแสดงความไม่เห็นด้วยกับการเข้าไปตั้งถิ่นฐานของบรรดาชาวอิสราเอลในดินแดน “เวสต์แบงก์” หรือการคิดผนวกดินแดนแห่งนี้มาเป็นของอิสราเอลให้สิ้นเรื่อง สิ้นราว หรือกระทั่งการย้ายสถานทูตอเมริกาจากกรุงเทลอาวีฟ ไปตั้งมั่นอยู่ ณ กรุงเยรูซาเล็ม รวมทั้งการหันกลับไปไตร่ตรองพิจารณาข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่าน อันเป็นสิ่งที่รัฐบาล “โอมาบ้า” ที่ “โจซึมเซา” มีฐานะเป็นรองประธานาธิบดี เคยให้การรับรองเช่นเดียวบรรดาประชาคมระดับโลกทั้งหลาย...
แต่ก็นั่นแหละ...ด้วยเหตุที่การทำอะไรต่อมิอะไรในแบบสวนทาง สวนควันปืน หรือแบบคนละเรื่อง-คนละม้วน กับสิ่งที่รัฐบาลอเมริกายุค “ทรัมป์บ้า” ได้เคยกระทำการมาก่อนหน้านั้น คงไม่ใช่เรื่องปอกกล้วยเข้าปากแต่อย่างใด ต้องหาทางยกเลิกกฎหมายการแซงชั่นลงไปในแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเท่านั้น ถึงบรรดาชาวอิหร่าน เขาถึงจะมีกะจิต กะใจ ในการคิดหวนกลับสู่โต๊ะเจรจากันได้แบบจริงๆ จังๆ แม้ว่าผู้นำอิหร่าน อย่างประธานาธิบดี “ฮัสซัน โรฮานี” ท่านจะพอมองเห็นถึงความเป็นไปได้อยู่บ้างตามสมควร หรือเห็นว่า...“นี่คือโอกาสสำคัญของรัฐบาลอเมริกันสมัยหน้า ที่จะแก้ไขความผิดพลาดที่มีต่ออิหร่าน และหวนกลับไปสู่หนทางอันเป็นที่ยอมรับของประชาคมระหว่างประเทศและการแสดงความเคารพต่อกฎระเบียบโลก” แต่ในเมื่อ “ความผิดพลาด” ที่ว่า มันออกจะหนักหนาสาหัส จนยากที่จะแก้ ยากที่จะเยียวยากันได้ถนัดๆ ไม่ใช่แต่เฉพาะความพยายามสร้างความฉิบหายให้กับเศรษฐกิจอิหร่าน ชนิดที่เคยส่งออกน้ำมันได้วันละถึง 2.5 ล้านบาร์เรล เหลือเพียงแค่วันละ 400,000 บาร์เรล ในบางช่วงบางระยะเท่านั้น ยังถึงกับส่งบ้องข้าวหลามยักษ์ไปถล่มผู้นำทหารของอิหร่าน ชนิดเด๊ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะ เท่งทึง จนก่อให้เกิดความแค้น แสนแค้น แค้นตาแม้น ชนิดคงต้องใช้เวลา และใช้อะไรต่อมิอะไรเยียวยากันอย่างเป็นระบบและกิจการ...
ด้วยเหตุนี้...ทางฝ่ายอิหร่านเขาเลยไม่ถึงกับ “กระดี้กระด้า” มากมายสักเท่าไหร่ ต่อการผงาดขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีคนที่ 46 ของ “ผู้เฒ่าโจ” ไม่ต่างอะไรไปจากบรรดาชาวปาเลสไตน์ทั้งหลาย ไม่ว่า “นายNabil Shaath” ผู้แทนพิเศษของประธานาธิบดี “Mahmoud Abbas” ที่บอกว่าไม่ได้คิดจะ “ตั้งความหวัง” ใดๆ กับนโยบายอเมริกาต่อปาเลสไตน์ หรือ “นางHanan Ashrawi” สมาชิกองค์กรปลดปล่อยปาเลสไตน์ (PLO) ที่สรุปไว้ว่า “โจ ไบเดน” นั้นไม่ใช่ผู้ปลดปล่อย หรือปลดเปลื้อง (saviour) ให้กับชาวปาเลสไตน์แต่อย่างใด เพราะอย่างมากที่สุดที่ผู้เฒ่ารายนี้อาจพอทำได้ ก็คือการย้อนกลับไปสู่ความพยายามสร้างความสมดุลระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ ในยุครัฐบาล “โอมาบ้า” นั่นเอง แม้ว่าอย่างน้อย...อาจดีกว่ายุค “ทรัมป์บ้า” อยู่มั่ง อันถือเป็น “ยุคที่เลวร้ายที่สุดของชาวปาเลสไตน์” ก็ตาม...
ส่วนพี่เบิ้มอย่างซาอุฯ กับยูเออีนั้น...แม้ล่าสุดทั้งกษัตริย์ “ซัลมาน” และมกุฎราชกุมาร “MbS” จะออกมาแสดงความยินดีต่อชัยชนะของ “ผู้เฒ่าโจ” เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่โอกาส “หลับตาทั้ง 2 ข้าง” ก็น่าจะลำบากอยู่ดี ด้วยเหตุเพราะในช่วงระหว่างการหาเสียงของชายชรารายนี้ ได้เคยกล่าวพาดพิงถึงความ “ไม่เข้าท่า” ของซาอุฯ อยู่หลายเรื่อง หลายประการด้วยกัน ไม่ว่ากรณีการฆาตกรรมอดีตนักหนังสือพิมพ์ชื่อดัง “นายจามาล คาช็อกกี” ที่อาจต้องหาทางรื้อฟื้น หาตัวผู้อยู่เบื้องหลังการกระทำการอันสุดแสนจะโหดเหี้ยมอำมหิตออกมาให้จงได้ ไม่งั้นอาจต้อง “ทบทวนความสัมพันธ์” กับประเทศนี้ หรืออาจถึงขั้นต้องเลิกสนับสนุนอาวุธให้กับการทำสงครามรุกรานประเทศเยเมน...ฯลฯ ฯลฯ...
และสำหรับเกาะเล็กๆ ในทะเลจีนใต้ อย่าง “ไต้หวัน” นั้น...เห็นว่าเมื่อช่วงวัน-สองวันที่ผ่านมา ผู้นำไต้หวันอย่างประธานาธิบดี “ไช่ อิงเหวิน” (Tsai Ing-wen) ถึงกับต้องออกมา “โพสต์” ข้อความให้กับบรรดาแฟนคลับทั้งหลายประมาณว่า... “ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตามในการเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกันคราวนี้ ก็คงไม่อาจเปลี่ยนแปลงธุรกรรมอันลึกซึ้งในสายสัมพันธ์ระดับพื้นฐานระหว่างอเมริกากับไต้หวันได้” คือแม้ว่า “ผู้เฒ่าโจ” นั้น...อาจแทบไม่ได้พูดถึงอะไรต่อมิอะไรเกี่ยวกับไต้หวันเอาเลยแม้แต่น้อยในระหว่างหาเสียง แต่ด้วยเหตุเพราะการงัดเอา “ลูกบ้า” มาใช้กับจีนในยุค “ทรัมป์บ้า” ออกจะเป็นอะไรที่ “บ้าก็บ้าวะ” ซะเหลือเกิน ไม่ว่าตั้งแต่การแหกกรอบ แหกประเพณี โทรศัพท์ไปแสดงความยินดีต่อการขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีไต้หวันของ “นางไช่ อิงเหวิน” แบบแทบไม่ได้สนใจความเป็น “จีนเดียว” เอาเลยแม้แต่น้อย การเลหลัง “ขายอาวุธ” ให้กับไต้หวันในรอบ 4 ปีมูลค่าไม่น้อยไปกว่า 15,000 ล้านดอลลาร์ และล่าสุด...เมื่อเดือนกันยาฯ ที่ผ่านมา ยังแถมขายเครื่องบินโดรน เครื่องบินจู่โจม ระบบเรดาร์และขีปนาวุธ มูลค่าอีกประมาณ 7,000 ล้านดอลลาร์ รวมทั้งส่งเจ้าหน้าที่ระดับกลาง ระดับสูง ไปเยือนเกาะไต้หวัน ชนิดหัวกระไดแทบไม่แห้ง หรือพยายามอาศัยไต้หวันเป็นตัว “ยั่วยวนกวนส้นตีน” ต่อคุณพี่จีนกันโดยเฉพาะนั่นเอง ดังนั้น...เมื่อ “ทรัมป์บ้า” ไม่มีโอกาสได้ “บ้า”ต่อไปอีกแล้ว บรรดาชาวไต้หวันทั้งหลาย ย่อมหนีไม่พ้นต้องรู้สึกโหวงๆ เหวงๆ อยู่บ้างเป็นธรรมดานั่นแล...
แต่โดยสรุปรวมความแล้ว...ไม่ว่าจะเป็น “ทรัมป์บ้า” หรือ “โจซึมเซา” ก็แล้วแต่ คงไม่ต่างอะไรไปจาก “เป๊ปซี่” กับ “โคล่า” นั่นแหละทั่น!!! คือต่างก็เป็น “น้ำดำ” ไปด้วยกันทั้งคู่ สายสัมพันธ์อันแน่นเหนียวที่มีต่ออิสราเอล ถึงขั้นเป็นผู้สนับสนุนยกย่องขบวนการไซออนิสต์อย่างออกหน้า ออกตา ใกล้ชิดแนบแน่นกับองค์กรชาวยิวอย่าง “AIPAC” (Israel Public Affairs Committee) แถมยังถูกสื่ออิสราเอลอย่างหนังสือพิมพ์ “Arutz” ไปลากเอาลูกชาย “นายHunter Biden” และลูกสาว “นางAshley” ให้มาเกี่ยวดองเป็นเขย เป็นสะใภ้กับชาวยิวในแต่ละรายอีกต่างหาก โอกาสที่ตัดสวาท ตัดสายใยใดๆ ที่จะก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในแนวรบตะวันออกกลาง จึงคงต้องรอไปจนกว่า “น้ำท่วมหลังเป็ด” โน่นเลย แต่ถึงกระนั้น...ถ้าหากไม่ถึงกับ “บ้า” หรือพอมี “สติ” หลงเหลืออยู่บ้าง ก็น่าจะถือเป็น “โชคดี” สำหรับโลกทั้งโลกอยู่ตามสมควร...