ถึงวันนี้ ณ วินาทีนี้...ดูเหมือนว่าคุณปู่ “โจซึมเซา” หรือ “โจ ไบเดน” และ “นางกมลา แฮร์ริส” น่าจะ “นอนมา” ในตำแหน่งประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โดยจะต้องมี “พระสวดนำหน้า” ต่อไป หรือไม่นั้น คงต้องไปรอว่ากันอีกที เพราะแม้ว่าประธานาธิบดีคนปัจจุบัน ที่กำลังจะกลายเป็น “อดีตประธานาธิบดี” อย่าง “ทรัมป์บ้า” จะออกแรงฮึด แรงยื้อกันในระดับไหน อย่างไร ก็ตามที แต่การที่บรรดาประชาชนและสื่ออเมริกันทั้งหลาย รวมทั้งผู้นำของประเทศระดับมหาอำนาจในยุโรปไม่ว่าอังกฤษ เยอรมนี ฝรั่งเศส ฯลฯ ออกมาแสดงความยินดีต่อ “ชัยชนะ” ของผู้เฒ่าไม้เท้าทองคำในคราวนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างก็น่าจะ “เรียบโร้ยย์ย์ย์โรงเรียนคนชรา” อย่างไม่น่าติดใจ สงสัยอะไรมากมายสักเท่าไหร่...
แต่สิ่งที่น่าคิด สะกิดใจ และคงต้องหยิบมาพูดจา ว่ากล่าว กันในวันนี้...ก็คือ “ปฏิกิริยา” ของผู้นำชาติที่ออกจะสำคัญมิใช่น้อย โดยเฉพาะในแนวรบสำคัญระดับโลกอย่าง “แนวรบตะวันออกกลาง” หรือประเทศ “อิสราเอล” นั่นเอง ที่ดูเหมือนว่าผู้นำประเทศอย่างนายกรัฐมนตรี “เบนจามิน เนทันยาฮู” ท่านยังคง “ช้าไว้ก่อน...พ่อสอนไว้” ต่อการออกมาแสดงความยินดีปรีดากับผู้นำใหม่ของสหรัฐอเมริกา เพราะไม่เพียงแต่ต้องรอดูการฟ้องร้อง การเรียกร้องให้นับคะแนนใหม่ของประธานาธิบดีรายเดิม อย่าง “ทรัมป์บ้า” เท่านั้น แต่อาจรวมไปถึงการที่บรรดาลูกหลานอดีตกษัตริย์ “ดาวิด” และ “โซโลมอน” ทั้งหลาย หรือบรรดาชาวยิวในประเทศอิสราเอลจำนวนถึง 68-70 เปอร์เซ็นต์ เคยนั่งลุ้น นอนลุ้น หวังจะให้ “ทรัมป์บ้า” กลับมาเป็นประธานาธิบดีรอบสองให้จงได้ แต่ครั้นเมื่อหน้าไพ่พลิกกลับกลายมาเป็น “โจ ไบเดน” การช้าๆ เข้าไว้ก่อน แม้หัวจิต หัวใจ จะร้อนรุ่มปานไฟเผาก็แล้วแต่ จึงถือเป็นท่าทีทางการเมืองและการทูต ก็พอเป็นที่เข้าใจได้...
พูดง่ายๆ ว่า...มาถึงช่วงนี้ ณ วินาทีนี้ บรรดาชาวอิสราเอลจำนวนไม่น้อย เริ่มออกอาการ “หลับไม่ลง” กันไปเป็นแถวๆ ไม่ว่าตั้งแต่ “นายZvi Yeheakeli” วิทยากรรายการวิทยุชื่อดังคลื่น 103 FM ของอิสราเอล ที่ถึงกับออกมาแสดงความคิด ความเห็น เอาไว้ประมาณว่า... “ชัยชนะของโจ ไบเดน อาจกลายเป็นการต่ออายุให้กับระบอบปกครองอิหร่าน ของบรรดาพวกอยาตอลเลาะห์ทั้งหลาย” เอาเลยถึงขั้นนั้น หรือแม้กระทั่งรัฐมนตรีกระทรวงตั้งถิ่นฐานของอิสราเอล “นายTzachi Hanegbi” ที่ถึงกับออกมาระบุ เมื่อช่วงวันศุกร์ (6 ต.ค.) ที่ผ่านมาว่า การหวนกลับมาครองตำแหน่งประธานาธิบดีของพรรคเดโมแครตคราวนี้ อาจนำไปสู่ “ความรุนแรงในการเผชิญหน้าระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน” ได้ทุกเมื่อ โดยเฉพาะถ้าหากจุดยืน ทัศนะ และวิธีการของผู้นำประเทศอเมริกาอย่าง “โจ ไบเดน” ยังเป็นไปในแนวทางแบบเดียวกับอดีตประธานาธิบดี “บารัค โอบามา”หรืออดีตรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ อย่าง “นางฮิลลารี คลินตัน” ก็ตาม นั่นก็คือการหวนกลับไปไตร่ตรอง และพิจารณาความพยายามสร้างความร่วมมือกับประเทศ “คู่กัด” และ “คู่อาฆาต” ของอิสราเอล อย่าง “อิหร่าน” ตามข้อตกลง “JCPOA” (Joint Comprehensive Plan of Action) ที่รัฐบาลอดีตประธานาธิบดี “โอบามา” ได้ร่วมลงนามกับประเทศเยอรมนี อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย และจีน ในช่วงปี ค.ศ. 2015 ก่อนที่จะถูกประธานาธิบดีอเมริกันรายใหม่ อย่าง “ทรัมป์บ้า” สะบัดตูด ลุกหนี ในปี ค.ศ. 2018 เอาดื้อๆ นั่นเอง...
คือจากแนวโน้มโดยทั่วๆ ไปแล้ว...แม้ว่าคุณปู่ “โจซึมเซา” ท่านจะมีสัมพันธภาพที่ดี เป็นมิตรแท้ มิตรถาวรกับประเทศอิสราเอลและบรรดาชาวอเมริกันเชื้อสายยิว อย่างพวก “Deep State” ในอเมริกาแน่นเหนียวเกลียวกลมขนาดไหน แต่ท่ามกลางความพยายามที่จะกลับไปแสวงหา “ความร่วมมือ” กับโลกทั้งโลก ถึงขั้น...อาจกลับไปลงนามในข้อตกลงแก้ปัญหาโลกร้อน หรือข้อตกลงปารีสกับบรรดาประเทศส่วนใหญ่ในโลกทั้งหลาย ไม่คิดจะ “ถอนตัว” ไม่คิดจะ “โดดเดี่ยวตัวเอง” เหมือน “ทรัมป์บ้า” นั้นย่อมก่อให้เกิดความเป็นไปได้เอามากๆ ว่าโอกาสที่ประเทศมหาอำนาจสูงสุดอย่างอเมริกา จะหันกลับไปตั้งโต๊ะเจรจา หรือกลับไปแสวงหาความร่วมมือเพื่อควบคุมและกำกับอาวุธนิวเคลียร์กับอิหร่าน ตามข้อตกลง “JCPOA” ที่อดีตผู้นำอเมริกาอย่าง “โอบามา” เคยเห็นควรด้วยมาก่อนหน้านั้น จึงย่อมไม่ได้ถือเป็นเรื่องแปลกแต่จริงแต่อย่างใด อีกทั้งตัวคุณปู่ “โจซึมเซา” เอง ท่านก็ได้แสดงออกถึงแนวคิดและจุดยืนทำนองนี้มาโดยตลอด...
แต่ก็ด้วยเหตุเพราะประเทศอิสราเอลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี “เบนจามิน เนทันยาฮู” ในทุกวันนี้...ได้ไปไกล ไปแรง และไปโลด ชนิดแทบจะไปไม่กลับ-หลับไม่ตื่น-ฟื้นไม่มียิ่งเข้าไปทุกที ในการแสดงออกถึงความเป็นศัตรู-คู่อาฆาต กับประเทศในตะวันออกกลางอย่างอิหร่าน ชนิดแทบไม่เหลือ “เกียร์ถอยหลัง” เอาไว้เลย อันเนื่องมาจากการยุ การเชียร์ การออกแรงหนุนของ “ทรัมป์บ้า” แบบชนิดถึงไหนก็ถึงกัน นโยบายของอิสราเอลต่อภูมิภาคตะวันออกกลางทุกวันนี้ จึงหวนกลับมาได้ค่อนข้างยากส์ส์ส์เอามากๆ เพราะไม่ใช่แค่การกลับไปร่วมมือกับข้อตกลง “JCPOA” อันเป็นสิ่งที่รัฐบาลอิสราเอล ภายใต้การนำของ “นายเนทันยาฮู” ออกโรงคัดค้านมาโดยตลอด แต่ยังมีเรื่องของการยกกรุงเยรูซาเล็มให้เป็น “เมืองหลวง” ของอิสราเอล การคิดจะผนวกดินแดน “เวสต์แบงก์” ของชาวปาเลสไตน์ให้กลับมาเป็นส่วนหนึ่งของอิสราเอล ไปจนถึงการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระดับปกติ กับบรรดาประเทศอาหรับทั้งหลาย ตามแนวทางสันติภาพที่เรียกว่า “ข้อตกลงแห่งศตวรรษ” ที่ลูกเขยชาวยิวของ “ทรัมป์บ้า” เป็นผู้ชงเอง กินเอง จนบรรดาประเทศอาหรับจำนวนไม่น้อย ไม่ว่ายูเออี บาห์เรน และซูดาน หันมาญาติดีกับอิสราเอล ชนิดแทบไม่ได้สนใจความเป็น “ประเทศปาเลสไตน์” ใดๆ อีกต่อไป...ฯลฯ ฯลฯ
อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่เอง...ที่มัน “กลับลำ” หรือกลับมาสู่ “สะพานถอยหลัง” ค่อนข้างลำบากเอามากๆ เพราะที่เคยหวังๆ เอาไว้ว่า คงอีกไม่นานนับจากนี้...ประเทศพี่เบิ้มแห่งตะวันออกกลางอย่างซาอุดีอาระเบีย อาจโดดมาจับมือถือแขนประเทศอิสราเอล เช่นเดียวกับบรรดา “รัฐบริวาร” ทั้งหลายก่อนหน้านี้ แต่ครั้นเมื่อประธานาธิบดีอเมริกาในอีกไม่กี่วันข้างหน้า อาจต้องกลายเป็น “โจซึมเซา” ไม่ใช่ “ทรัมป์บ้า” อีกต่อไปแล้ว การลากเอาอำนาจ อิทธิพลของมหาอำนาจสูงสุดอย่างอเมริกา มาใช้เป็นตัวสร้างแรงกดดัน หรือใช้ในการบรรลุเป้าหมายต่างๆ นานาของอิสราเอล มันจึง “ไม่น่าจะง่าย” อีกต่อไปแล้ว หรืออาจถึงขั้นต้องทำอย่างที่ “นายMichael Oren” อดีตรองรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ อิสราเอล หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาทางการเมือง อย่าง “ศาสตราจารย์Jonathan Raynhold” แห่งมหาวิทยาลัย “Bar-Ilan” ณ กรุงเทลอาวีฟ เสนอให้ “กลับไปเลือกตั้งกันใหม่” เพื่ออาศัยคะแนนเสียง คะแนนนิยม ของชาวอิสราเอลทั่วประเทศ เป็นเครื่องต่อรองและกดดัน ไม่ให้ผู้เฒ่าอย่าง “โจซึมเซา” หันมากระชากเกียร์ถอยหลังจนเกินเหตุ...
เพราะโดยสถานะของประเทศอิสราเอลในทุกวันนี้...ถ้าหากไม่ใช่เป็นเพราะ “ทรัมป์บ้า” ซะอย่างแล้ว โอกาสที่จะ “บ้าก็บ้าวะ” ในแต่ละเรื่อง มันคงไม่ถึงกับ “ลื่นไหล” ได้เท่าทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นการคิดจะยึดดินแดนเวสต์แบงก์ของปาเลสไตน์ การประกาศให้กรุงเยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวงอย่างเป็นทางการ การชวนให้ชาติอาหรับย้ายข้าง เปลี่ยนข้าง มาถือหางอิสราเอลกันแทนที่ ฯลฯ เพราะแม้แต่การแสดงความเห็นด้วย-ไม่เห็นด้วย ต่อสถานะบทบาทของศาสนสถานในกรุงเยรูซาเล็ม หรือบน “ภูเขาพระวิหาร” ในที่ประชุมสหประชาชาติ เมื่อวัน-สองวันที่ผ่านมา ที่ทำให้ประเทศอิสราเอลต้องกลายสภาพเป็น “โดดเดี่ยวผู้น่าเกลียด” ไปโดยปริยาย เมื่อมีประเทศถึง 138 ชาติ ประกาศรับรองเนื้อหาในเอกสารที่นำเสนอโดยนักวิชาการอิสลาม (al-Haram al-Sharif) ซึ่งระบุเอาไว้ถึงขั้นว่า... “การกระทำของอิสราเอล ส่งผลกระทบต่อสิทธิมนุษยชนของชาวปาเลสไตน์ ในการครอบครองดินแดนด้านตะวันออกของกรุงเยรูซาเล็มตามมติสหประชาชาติ” มีแค่ 9 ประเทศเท่านั้นเอง ที่หันมาถือหางอิสราเอล อันเนื่องมาจากความหวาดเกรงต่ออำนาจอิทธิพลของ “ทรัมป์บ้า” ล้วนๆ ดังนั้น...ถ้าแต่ละฝ่ายหันมามี “สติ” เพิ่มขึ้นไปตามลำดับ ไม่ถึงกับต้อง “บ้าก็บ้าวะ” ไปโดยตลอด โอกาสที่ “แนวรบตะวันออกกลาง” จะไหลไปในแนว “สันติภาพ” มากกว่า “สงคราม” ย่อมมีความเป็นไปได้สูงยิ่งขึ้นไปเท่านั้น!!!