ด้วยอายุ อานามที่มากแล้ว...คงต้องขออนุญาตเขียนมั่ง-หยุดมั่ง ไปตามสภาพ หรือตามมี ตามเกิด นั่นแหละทั่น โดยแม้ว่าช่วงปิดฉากสัปดาห์นี้ จะพยายามประคองร่าง ประคองสังขารมาทำหน้าที่ตามบทบาทความรับผิดชอบ แต่เมื่อต้องเจอเข้ากับเรื่อง “เลือกตั้งอเมริกา” ที่กำลังมาแรงแซงโค้ง อยู่ ณ ขณะนี้ ต้องเรียกว่า...แทบหงายท้อง!!! แทบเป็นลมสลบเหมือด เพราะอะไรมันจะยุ่งฉิบหาย ยุ่งตายห่า ยุ่งซะยิ่งกว่าหนวดแขกพันกับฝอยขัดหม้อเท่านี้ ย่อมไม่มีอีกแล้ว...
คือขณะที่เขียนต้นฉบับชิ้นนี้...เห็นว่าผู้ท้าชิงแห่งพรรคเดโมแครตอย่าง “โจซึมเซา” กวาดคะแนนคณะเลือกตั้งประธานาธิบดี หรือที่เรียกๆ กันว่า “Electoral Vote” หรือ “Electoral College” มาแล้วประมาณ 238 เก้าอี้ ขณะแชมป์เก่าพรรครีพับลิกัน อย่าง “ทรัมป์บ้า” ตามหายใจรดต้นคอคว้ามาได้ถึง 213 เก้าอี้ โดยใครจะไล่เบียด ไล่บี้ คว้ามาได้ครบ 270 เก้าอี้ก่อนกัน อันนั้นนั่นแหละ...ถึงจะถือเป็น “ประธานาธิบดีอเมริกัน” รายใหม่แบบของจริง-ของแท้ ดังนั้น...การเบียดไป-เบียดมา บี้กันไป-บี้กันมา เพื่อชิงตำแหน่งผู้นำประเทศมหาอำนาจสูงสุด หรือจะเรียกว่าตำแหน่ง “ประมุขโลก” ก็ย่อมได้ มันเลยก่อให้เกิดสีสันบรรยากาศ ที่แม้แต่ “พลโลก” ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับ “พลเมืองอเมริกัน” ด้วยเลย อย่างบรรดาเราๆ และทั่นๆ ทั้งหลาย เลยหนีไม่พ้นต้องยุ่งฉิบหาย ยุ่งตายห่าตามไปด้วย อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้...
เรียกว่า...แค่นั่งฟังการวิเคราะห์ สังเคราะห์ จากบรรดาสื่อกระแสหลัก สื่อตะวันตก แต่ละราย ที่ออกมาอัพด่ง อัพเดตในแบบนาทีต่อนาที ก็แทบตายแล้ว!!! ซ้ำยังต้องเจอบรรดานักวิเคราะห์ นักสังเคราะห์ หรือบรรดา “กูรู-กูรู้” ในบ้านเราทั้งหลาย ที่ว่ากันไปคนละทาง-สองทาง เลยเล่นเอาแทบไข้ขึ้น ไตวาย หัวใจวาย เพราะการเบียด การบี้ ระหว่าง 2 คู่ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอเมริกันคราวนี้ คงต้องยอมรับว่า...ออกจะเป็นอะไรที่ “สูสี” และ “เสียดสี” ยิ่งกว่า “หงส์แดง-ลิเวอร์พรุน” ปะทะกับ “ผีแดง-แมนยู” เอาเลยถึงขั้นนั้น คือแม้ประธานาธิบดีคนปัจจุบันจะ “ห่วยแตก” แบบสุดๆ โดยเฉพาะการรับมือกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส “COVID-19” เพียงใดก็ตาม ส่งผลให้อเมริกันชนติดเชื้อไปแล้วกว่า 20 ล้านคน เด๊ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะ เท่งทึงไปกว่า 2 แสนคน แต่บรรดาอเมริกันชนจำนวนไม่น้อย ดูจะยังพร้อมดำรงตนตามแบบฉบับ “ด้วยเหตุเพราะประเทศนี้มันมีกรรม จึงได้ทรัมป์เป็นนายขายหน้าเอย”อย่างแทบไม่คิดจะ “ลด-ละ-เลิก” โอกาสรู้แพ้-รู้ชนะกันในแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด จึงหาข้อสรุปแทบไม่ได้ เผลอๆ...อาจต้องไปสรุปกันที่ “ศาล” ตามที่ใครต่อใครเคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ เอาเลยก็ไม่แน่!!!
หรือทำให้การเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกันคราวนี้ ส่งผลให้ “ความเป็นประชาธิปไตย” ตามแบบฉบับอเมริกา ออกจะเป็นอะไรที่น่าหวาดหวั่นขวัญสยอง น่าขนลุก ขนพอง มิใช่น้อย โดยเฉพาะบรรยากาศการแบ่งขั้ว แบ่งข้าง โดยไม่มีใครคิดยอมใครง่ายๆ แม้ว่าก่อนหน้านี้ บรรดาผู้ที่พอมี “สติ” ทั้งหลาย จะออกมาเตือนไว้ก่อนล่วงหน้า อย่าให้ฝ่ายหนึ่ง ฝ่ายใดออกมาประกาศชัยชนะแบบรวบหัว-รวบหาง ก่อนรับรู้ รับทราบ ผลการนับคะแนนแบบเสร็จสิ้นสมบูรณ์ เพราะอาจส่งผลให้เกิดการ “ลงถนน” การร่อนมือ ร่อนตีน ใส่กันและกัน ของบรรดาผู้สนับสนุนในแต่ละฝ่าย ที่ใกล้ควักปืนออกมายิงกันและกันเต็มที...
แต่หลังจากผู้ท้าชิงอย่าง “โจซึมเซา” ออกมาประกาศที่เดลาแวร์ ถึงความรู้สึกต่อสิ่งดีๆ ซึ่งกำลังจะเกิดขึ้นในการเลือกตั้งคราวนี้ แชมป์เก่าอย่าง “ทรัมป์บ้า” ก็อดไม่ได้ที่จะต้องออกมา “ทวีต” แบบฉับพลัน-ทันที ว่ากำลังถูกปล้นชัยชนะ ถูก “ขโมยการเลือกตั้ง” อันเป็นสิ่งที่ยอมไม่ได้โดยเด็ดขาด โดยอีกไม่กี่นาทีก็ออกมาแถลงอย่างเป็นทางการที่ทำเนียบขาว ประกาศว่าตัวเองชนะเป็นที่เรียบร้อยแล้ว รวมทั้งเรียกร้องให้หยุดนับคะแนนหีบบัตรทางไปรษณีย์ ไม่งั้นอาจต้องไปจบกันที่ “ศาลสูง” ที่ตัวเองได้แต่งตั้งเพิ่มเติมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว...
ด้วยบรรยากาศทำนองนี้นี่เอง...ที่ทำให้ตัวเลข สถิติ การหาซื้อ “อาวุธปืน” ของบรรดาอเมริกันชน ช่วงระหว่างการเลือกตั้งพุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุด สูงกว่าปีที่แล้วถึง 75 เปอร์เซ็นต์ เฉพาะแค่เดือนตุลาคมที่ผ่านมาซื้อติดไม้ติดมือกันไปถึง 1.2 ล้านกระบอก อีกทั้งยังเป็นการเลือกตั้งที่ทำให้อาคาร ร้านค้า บ้านเรือนผู้คน ถูกแปรสภาพไปในชนิดแทบไม่ต่างไปจากป้อมค่าย หรือสนามเพลาะ หรือถึงกับต้องเอาแผ่นไม้ แผ่นเหล็ก มาตอกตรึงผนังด้านนอก เพื่อป้องกันการทุบทำลายไว้ก่อนล่วงหน้า แม้กระทั่ง “ทำเนียบขาว” ก็เถอะ ถึงกับต้องสร้างรั้วเหล็กระดับสูงเทียมหัว ไว้ป้องกันการบุกรุกของชาวอเมริกันด้วยกันเอง ไม่ใช่เฉพาะพวกผู้อพยพลี้ภัยที่ถูกกั้นขวางไว้ด้วย “กำแพงทรัมป์” หรือ “กำแพงเม็กซิโก” แถวๆ ชายแดนโน่นเลย และโอกาสที่จะเกิดการปีนรั้ว การทุบทำลายกำแพงต่างๆ ไปจนถึงขั้นเผาบ้าน เผาเมือง ก็ใช่ว่าจะไม่มีเอาซะเลย โดยเฉพาะเมื่อคู่ชิงทั้งสองฝ่าย ต่างไม่มีใครคิดจะยอมใคร อย่างที่ว่าๆ กันไปแล้ว...
ทั้งๆ ที่ไม่ว่าใครจะเป็น “ผู้ชนะ” ก็ตาม...โอกาสจะแก้ไขเยียวยาสภาพปัญหาต่างๆ แทบมองไม่เห็นความเป็นไปได้ ไม่ว่าเพื่อให้อเมริกาหวนกลับมายิ่งใหญ่ หรือหวนกลับมาสู่ทิศทางเดิมๆ ก็ตาม แค่เจอกับการจัดสรรงบประมาณในปีหน้า หรือปี ค.ศ. 2021 ก็ออกจะเป็นอะไรที่น่าปวดหัวฉิบหายมากพอแล้ว อันเนื่องมาจากภาวะ “ขาดดุลงบประมาณ” ปีนี้ หรือปี ค.ศ. 2020 ที่ปาเข้าไปถึง 3.1 ล้านล้านดอลลาร์ หรือ 15.2 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี ถือเป็นการขาดดุลสูงสุดนับจากสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา และกลายเป็นตัวก่อให้เกิดผลกระทบอย่างหนักหนาสาหัสต่อความพยายามเพิ่ม “งบประมาณทหาร” ไม่ว่าตามโครงการพัฒนาขีปนาวุธพิสัยกลาง การเพิ่มกองเรือรบในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก เพื่อสร้างความมั่นอก-มั่นใจให้บรรดา “พันธมิตร” ในแต่ละราย ที่ออกจะหายาก หาเย็นยิ่งขึ้นเรื่อยๆ โดยนั่นยังไม่ได้นับรวมไปถึงภาวะ “หนี้สินประเทศ” ที่พุ่งไปถึงเกือบ 23 ล้านล้านดอลลาร์ และกำลังกลายเป็นตัวเร่งให้เกิดภาวะ “ฟองสบู่แตก” ในทุกระดับ ภายในอนาคตอันใกล้ อย่างที่ “นายPeter Schiff” แห่งบริษัท “Euro Pacific” แกเคยทำนายทายทักเอาไว้ก่อนหน้านี้...
หรือไม่ก็อาจต้องหันไปปรับลดงบประมาณด้านสวัสดิการ สาธารณสุข การศึกษาฯลฯ ที่แทบไม่เหลืออะไรติดปลายนวมอยู่แล้ว อันอาจส่งผลให้ประกายไฟในสังคมที่ลุกลามอยู่แล้ว ยิ่งไหม้ลามทุ่งหนักขึ้นไปใหญ่ ไม่งั้น...ก็ต้องหันไป “กู้...กับ...กู้” หรือต้องหันไปพิมพ์ธนบัตรดอลลาร์เพิ่มอีกกี่ล้านล้านดอลลาร์ก็มิอาจสรุปได้ ต้องออก “พันธบัตร” ระยะสั้น ระยะยาว ที่เป็นตัวส่งผลให้เงินดอลลาร์ “เสื่อมค่า”ลงไปทุกที เสื่อมชนิดสถาบันการเงินระดับโลกไม่รู้กี่แห่งต่อกี่แห่ง ต้องออกมาแนะนำลูกค้า ให้รีบทิ้งดอลลาร์ หันมาซื้อทอง-ขายทองกันเป็นหลัก อย่างที่หัวหน้าฝ่ายลงทุนบริษัท “Cost Capital” “นายJames Rasteh” เพิ่งออกมาบอกกับสำนักข่าว “CNBC” ไปเมื่อวานนี้นั่นแหละว่า... “ไม่ว่าใครแพ้-ใครชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกา แต่ผู้ชนะที่แท้จริงคือ...ทองคำ” อะไรประมาณนั้น...
ดังนั้น...แม้ภาพชาวอเมริกันชนที่ออกมาลงคะแนนกันเป็นร้อยๆ ล้าน หรือกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง อาจเป็นอะไรที่น่าตื่นตา ตื่นใจอยู่พอสมควร แต่ก็ดูจะไม่ได้ช่วยลดความ “น่าเกลียด” และ “น่ากลัว” ของความเป็นประชาธิปไตยตามแบบฉบับอเมริกาลงไปได้มากมายสักเท่าไหร่ อันเนื่องมาจากด้วยเหตุเพราะ “ไม่มีใครยอมใคร” นั่นแหละเป็นหลัก หรือแทบไม่เหลือสายใยแห่งความผูกพันใดๆ ที่จะช่วยให้เกิดการปรองดอง สมานฉันท์ หวนคืนกลับมาสู่สังคมได้อีก ด้วยเหตุนี้...สู้หันไปลุ้นอดีต 4 นายกรัฐมนตรี ตาม “ประชาธิปไตยแบบไทยๆ” เผลอๆ...อาจช่วยให้พอ “อยู่ๆ กันไปได้” แม้แต่เล็กๆ น้อยๆ ก็ยังดี...