เหลืออีกแค่ 168 ชั่วโมง (หรือ 7 วันในอเมริกา) ก็จะถึงวันลงคะแนนเลือกตั้ง-อังคารที่ 3 พฤศจิกายน ซึ่งผู้สมัครทั้งสอง-คือ ผู้ครอบครองทำเนียบขาวคนปัจจุบัน และผู้ท้าชิง-ต่างใช้เวลาแต่ละชั่วโมงบินข้ามไปข้ามมายังรัฐสมรภูมิเดือดเพื่อพลิกคะแนน Electoral Votes ให้มาเป็นของตนให้ได้แน่ๆ
รัฐสมรภูมิเดือดนี้ ได้แก่รัฐที่เป็นแหล่งแร่ธาตุหนักซึ่งเป็นเหล่าอุตสาหกรรมเก่าแก่ของชาติ ที่เรียกว่า รัฐสนิม (Rust-Belt) ได้แก่ เพนซิลเวเนีย, มิชิแกน, วิสคอนซิน, มินนิโซตา, โอไฮไอ, เวสต์ เวอร์จิเนีย และรัฐเซาท์แคโรไลนา
รัฐสมรภูมิที่เป็นรัฐสนิม ดั้งเดิมเคยให้คะแนนแก่พรรคเดโมแครตมาตลอด 30 ปี แต่ทรัมป์ได้พลิกประวัติศาสตร์ โดยกล่าวหาว่า นักการเมืองไม่เคยทำให้เหล่าคนงานในเหมืองและในโรงงานมีชีวิตที่ดีขึ้น พวกคนงานผิวขาวที่ไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัย และกำลังถูกแข่งขันจากหุ่นยนต์และเทคโนโลยี ต่างเปลี่ยนใจหันมาลองของใหม่แบบทรัมป์ จนทำให้ทรัมป์ได้ Electoral Votes ชนะไปเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ประกอบกับฮิลลารีก็คาดว่ารัฐเหล่านี้เหมือนหมูอยู่ในอวย เลยไม่ได้ไปหาเสียงถี่ๆ อย่างที่เคย นอกจากนั้น เธอก็ถูก Fake News จากรัสเซียถล่มจนแก้ไขไม่ทัน
สำหรับรัฐแดดจ้า มักเป็นรัฐที่ผู้สูงอายุได้อาศัยเป็นบ้านที่สองในยามที่บ้านที่หนึ่งมีอากาศหนาวสุดๆ...พวกเขาเป็นคนเคร่งศาสนา และอนุรักษนิยมมาก ซึ่งรัฐเหล่านี้มักเลือก Electoral Votes เป็นรีพับลิกัน
แต่อดีตปธน.คลินตัน และโอบามา ก็เคยกวาดรัฐแดดจ้านี้มาแล้ว ซึ่งทำให้ผู้ท้าชิงโจ ไบเดน ต้องทำงานหนักมาก คือพลิกคะแนนในรัฐสนิมและรัฐแดดจ้านี้ให้หันหลังให้ทรัมป์ เพราะทรัมป์ได้ทำผิดอย่างมหันต์ในการโกหกกับประชาชน ในเรื่องการป้องกันหรือหลีกเลี่ยงจากไวรัสร้าย ด้วยการบังคับให้สวมหน้ากากและไม่ชุมนุมแออัด รวมทั้งรัฐจะต้องจัดการตรวจเชื้อให้กว้างขวาง เพื่อแยกคนติดเชื้อไปกักตัวและเพื่อการสอบสวนโรค ซึ่งทรัมป์ไม่ให้ความสำคัญกับสิ่งนี้ เพราะกลัวว่า ยิ่งตรวจเชื้ออย่างกว้างขวาง จะยิ่งทำให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อดูโตน่าตกใจ จะกระทบต่อเศรษฐกิจที่เป็นจุดแข็งของเขา
ทั้งในดีเบต และการปราศรัยหาเสียงของทรัมป์ มีคำถามจี้ใจทรัมป์ว่า ถ้าย้อนกลับไปตอนต้นปี เขายังจะดำเนินนโยบายเหมือนเดิมหรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงอะไรหรือไม่
คำตอบของทรัมป์ ทำเอาแฟนคลับของเขาหลายคนเริ่มหันหลังให้ทรัมป์คือเขาตอบว่า “not much” หรือคงไม่เปลี่ยนอะไรหรอก มันดีอยู่แล้ว ผมทำเจ๋งที่สุดอยู่แล้ว มิฉะนั้นคงจะตายเป็น 2 ล้านคนเชียวนะ...และผมก็ทุ่มให้กับการค้นคว้าวัคซีนมาตลอด
พวกที่เริ่มหันหลังให้ทรัมป์ เป็นพวกที่พ่อแม่ ญาติพี่น้องเขาต้องเสียชีวิตเพราะหลงคารมทรัมป์ว่า มันเป็นโรคธรรมดาพอๆ กับไข้หวัดเท่านั้น และยังพูดอีกว่า “It is what it is” คือมันก็เป็นอย่างนี้แหละ ของธรรมดา ไม่ต้องไปให้น้ำหนักอย่างใด ไม่ต้องไปเปลี่ยนแปลงในวิธีการรับมือหรือจัดการกับโรค (ร้ายแรงยิ่ง) นี้ และยังมีประโยคว่า “learn to L-I-V-E with it” คือ ทุกคนต้องทำใจ-อยู่กับมันให้ได้...ซึ่งโจ ไบเดน ได้สวนด้วยวรรคทองว่า ชาวอเมริกันกำลัง “learn to D-I-E with it” คือเรียนรู้ที่จะต้องตายกับโรคร้ายนี้ต่างหาก...เพราะทรัมป์ไม่มีนโยบายจัดการกับโรคนี้อย่างได้ผล จึงทำให้คนตายไปถึง 2 แสน 2 หมื่นแล้ว และถ้าหากมารอบสอง คนจะยิ่งตายลงมากเป็น 2 เท่า ถ้าเขายังปล่อยวางไม่มีนโยบายรุกกับการจัดการโรคนี้
ตอนนี้ คะแนนโจ ไบเดน ยังนำทรัมป์อยู่ในรัฐสมรภูมิส่วนใหญ่ มีเพียงรัฐจอร์เจียและเทกซัส ที่คะแนนทรัมป์ยังนำอยู่เล็กน้อย ส่วนที่ฟลอริดาและโอไฮไอ จะสูสีกันมากจริงๆ ซึ่งทั้งฟลอริดาและโอไฮโอจะเป็น 2 รัฐที่ผู้ชนะได้ครองทำเนียบขาว จะชนะใน 2 รัฐนี้เสมอ
แม้ทีมหาเสียงทรัมป์จะชกจุดอ่อนของไบเดน ไม่ว่าจะเรื่องผู้หญิงที่ไบเดนจะควบคุมตัวเอง (ในที่สาธารณะ) ไม่ได้ในการจับมือถือแขนใกล้ชิด, หรือลูกชายเจ้าปัญหาฮันเตอร์ ไบเดน ที่เคยติดยา...และหลังเลิกยาก็มาทำธุรกิจที่ยูเครนและจีน จนทรัมป์กล่าวหาว่าไบเดนก็น้ำเน่าโดยใช้ตำแหน่งรองปธน.เอื้อประโยชน์ให้แก่ฮันเตอร์
แต่จุดอ่อนของไบเดน ดูจะไม่มีน้ำหนักต่อผู้ลงคะแนนให้ไบเดน เพราะประเด็นหลักในการตัดสินครั้งนี้คือ เศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่พังพาบลงในปีนี้ ก็เพราะสาเหตุมาจากการรับมือกับโควิดอย่างไร้ทิศทาง อย่างโกหกไม่เป็นวิทยาศาสตร์ และทำให้โรคลุกลาม-ทำลายเศรษฐกิจอย่างสาหัส
ขนาดเหล่าหมอใหญ่ๆ ลงทุนเขียนจดหมายเปิดผนึก บอกให้ทุกคนเลือกไบเดน เพื่อเห็นแก่การช่วยชีวิตชาวอเมริกันไม่ให้ต้องตายเป็นเบือมากกว่านี้ เพราะทรัมป์โกหกว่าโรคไม่ร้ายแรงทำให้คนตาย
และล่าสุดเมื่อ 3 วันนี้เอง นักเศรษฐศาสตร์จากสถาบันชั้นนำของสหรัฐฯ ถึง 727 คน ในนั้นมีที่เคยได้รับรางวัลโนเบลถึง 7 คน เขียนจดหมายเปิดผนึกว่า ความผิดพลาดและความเห็นแก่ตัว (Selfish) อย่างร้ายกาจ และความบ้าบิ่น (Reckless) ของทรัมป์ รวมทั้งการคอร์รัปชันที่กลายเป็น normal ในยุคทรัมป์ (normalized Corruption) หรือกลายเป็นเรื่องธรรมดาอย่างน่ากลัวมาก และรวมทั้งการให้ข้อมูลโกหก (dangerous information) เหล่านี้ทำให้คนตาย ทั้งๆ ที่ไม่ควรตายมโหฬารจากนโยบายผิดพลาดโกหกของทรัมป์ และนำมาสู่เศรษฐกิจที่ย่อยยับขณะนี้
พวกเขาขอให้ผู้ลงคะแนน “Reclaim your democracy” ให้ดึงเอาประชาธิปไตยของเรากลับคืนมา ด้วยการลงคะแนน “Remove Trump from Office”
การออกมาประกาศกร้าวว่า ตนเองไม่ผิด ไม่ต้องแก้ไขนโยบายอะไรทั้งสิ้น และยึดมั่นว่า “มันเป็นเช่นนั้นเอง” โดยไม่ยอมเปลี่ยนแปลงอะไรทั้งสิ้น ทั้งๆ ที่โลกเปลี่ยนแปลงไปตลอดทุกนาที
ถ้าทรัมป์แพ้ ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทำไมเขาถึงแพ้ในครั้งนี้