เอเจนซีส์ - ‘ไบเดน’ จวก ‘ทรัมป์’ ยอมแพ้ในการต่อสู้กับโควิด-19 ตั้งแต่แรก ขณะที่ยอดผู้ติดเชื้อทั่วสหรัฐฯ ยังพุ่งขึ้นรุนแรง และหัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่ของทำเนียบขาวยอมรับว่าคณะบริหารไม่ได้กำลังจะควบคุมโรคระบาดนี้สำเร็จ สวนทางกับตัวประธานาธิบดีที่ยังคงโอ้อวดว่าสถานการณ์ไวรัสโคโรนาดีขึ้นและอเมริกามีวัคซีนแล้ว ด้านรองประธานาธิบดีเพนซ์ยังคงตระเวนหาเสียงแม้มีผู้ช่วยติดโควิดเพิ่ม หลายคน และแพทย์ชี้ว่าเป็นการระบาดแบบกลุ่มก้อนในที่ทำงานที่ทุกคนควรกักตัว 14 วันก็ตาม
ขณะที่เหลือเวลาอีก 9 วันจะถึงวันเลือกตั้ง และท่ามกลางรายงานว่า จำนวนผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ในอเมริกาพุ่งเกิน 225,000 คนไปแล้ว มาร์ก มีโดว์ส ประธานคณะเจ้าหน้าที่ของทำเนียบขาว กล่าวยอมรับในรายการสัมภาษณ์ทางทีวีเมื่อวันอาทิตย์ (25 ต.ค.) ว่า อเมริกาไม่ได้กำลังจะควบคุมโรคระบาดสำเร็จ โดยจะทำสิ่งนี้ได้ต่อเมื่อมีวัคซีน การรักษา และวิธีการอื่นๆ และเสริมว่า การควบคุมไม่ใช่สิ่งที่ปฏิบัติได้จริงเพราะไวรัสโคโรนาเป็นไวรัสที่ทำให้เกิดโรคติดต่อเช่นเดียวกับไข้หวัดใหญ่
ด้าน โจ ไบเดน ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครตฉวยโอกาสนี้โจมตีว่า คำสัมภาษณ์ของมีโดว์สเป็นการยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า กลยุทธ์ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ชัดเจนมาตั้งแต่แรกคือ ไม่แม้แต่จะควบคุมการระบาดซึ่งเป็นหน้าที่พื้นฐานในการปกป้องประชาชน แต่กลับยอมแพ้และเพิกเฉยโดยบอกว่า ไวรัสโคโรนาจะหายไปเอง
ทั้งนี้ สถานการณ์การระบาดในอเมริกายังคงรุนแรงมากภายหลังกลับเกิดการติดต่อหนักขึ้นมาอีกในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยในวันเสาร์ (24) พบผู้ติดเชื้อใหม่ทำสถิติสูงสุดอีกครั้ง นั่นคือ เกือบ 90,000 คน และในวันอาทิตย์ (25) ก็พบอีกกว่า 63,000 คน เฉพาะเดือนตุลาคมนี้ ใน 29 รัฐจาก 50 รัฐทั่วสหรัฐฯ ได้พบเคสใหม่เพิ่มขึ้นแบบทุบสถิติเดิม โดยรวมถึง 5 รัฐที่เป็นสนามเลือกตั้งซึ่งการต่อสู้แข่งขันกันเป็นไปอย่างดุเดือด คือ โอไฮโอ มิชิแกน นอร์ทแคโรไลนา เพนซิลเวเนีย และวิสคอนซิน ขณะที่จำนวนผู้เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลด้วยอาการโควิดในแถบมิดเวสต์ ก็ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ติดต่อกันเป็นวันที่ 9 เมื่อวันอาทิตย์
ประเด็นโรคระบาด รวมไปถึงเรื่องการเหยียดเชื้อชาติ ยังกำลังกระตุ้นให้คนอเมริกันออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้ากันอย่างคึกคัก ยูเอส อิเลกชัน โปรเจกต์ ที่ดำเนินการโดยมหาวิทยาลัยฟลอริดา เผยว่า จนถึงวันอาทิตย์มีผู้ไปหย่อนบัตรล่วงหน้ากันแล้วถึงกว่า 59 ล้านคน ซึ่งมากกว่าจำนวนผู้ไปสิทธิ์ล่วงหน้าทั้งหมดของเมื่อ 4 ปีก่อน
ด้านทรัมป์ที่โพลสำนักต่างๆ ชี้ว่า คะแนนนิยมในระดับทั่วประเทศยังตามหลังไบเดนถึง 10% แต่ในบางสนามเลือกตั้งสำคัญคะแนนยังค่อนข้างคู่คี่นั้น ได้เร่งตะลุยหาเสียงอย่างหนัก โดยเมื่อวันอาทิตย์แวะปราศรัยทั้งในรัฐนิวแฮมเชียร์และรัฐเมน
ความพยายามของทรัมป์ในการลดทอนข่าวคราวความรุนแรงของสถานการณ์การระบาด หรือเบนความสนใจของประชาชนไปยังประเด็นอื่น ปรากฏว่าเผชิญอุปสรรคขัดขวางจากสภาพความเป็นจริงอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดคือข่าวที่ว่า มาร์ก ชอร์ต ประธานคณะเจ้าหน้าที่ของรองประธานาธิบดีไมค์ เพนซ์ ติดโควิด แล้วยังพบผู้ช่วยระดับสูงของเพนซ์ ติดเชื้อเพิ่มอีกหลายคน หากนับรวมผู้ที่หายแล้วเข้าไปด้วย ในทำเนียบขาวก็มีผู้ติดเชื้อกว่า 20 คน ซึ่งรวมถึงทรัมป์และภรรยาคือ เมลาเนีย และบาร์รอน ลูกชายวัยรุ่นของทั้งคู่
อย่างไรก็ตาม ทิม เมอร์ทัฟ โฆษกทีมหาเสียงของเพนซ์ เผยเมื่อวันอาทิตย์ว่า เพนซ์จะยังคงออกหาเสียงทั่วประเทศ เนื่องจากได้รับอนุญาตจากแพทย์ และผลตรวจล่าสุดทั้งเพนซ์และภรรยาต่างออกมาเป็นลบ
อย่างไรก็ดี แพทย์หญิงแซนดรา เนลสัน จากคณะแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและโรงพยาบาลแมสซาชูเสตส์ แสดงความเห็นว่า เพนซ์มีความเสี่ยงสูงที่จะติดโควิดและแพร่เชื้อให้ผู้อื่น และว่า การที่สมาชิกคณะทำงานหลายคนติดเชื้อจึงมีโอกาสที่จะเป็นการติดเชื้อแบบกลุ่มก้อนในที่ทำงานซึ่งทุกคนต้องกักตัว 14 วัน
ข่าวการติดเชื้อในทำเนียบขาวตอกย้ำวิธีที่ทรัมป์และพันธมิตรเพิกเฉยต่อคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขให้สวมหน้ากากและเว้นระยะห่างทางสังคม
พรรคเดโมแครตได้โจมตีการตัดสินใจของเพนซ์ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมเฉพาะกิจปราบไวรัสโคโรนาของทำเนียบขาวอยู่ด้วย ที่ไม่ฟังคำเตือนจากผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขซึ่งให้กักตัว โดยเมื่อวันอาทิตย์ คามาลา แฮร์ริส ผู้สมัครชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีคู่กับไบเดน วิจารณ์เพนซ์ว่า ควรปฏิบัติตามคำแนะนำ และสำทับว่า นี่เป็นความล้มเหลวครั้งใหญ่ที่สุดของคณะบริหารในประวัติศาสตร์อเมริกา
ตัววุฒิสมาชิกแฮร์ริสเองนั้นเคยกักตัว 4 วันในเดือนนี้ หลังจากผู้ช่วยคนหนึ่งติดโตวิด
ทว่า ทรัมป์ยังคงประกาศกับผู้สนับสนุนในนิวแฮมเชียร์ว่า ไม่มีประเทศไหนในโลกฟื้นตัวจากโควิด-19 ได้เหมือนอเมริกา ซึ่งสถานการณ์กำลังดีขึ้น และสำทับว่า อเมริกามีวัคซีนและทุกสิ่งในการเอาชนะโรคระบาด
อย่างไรก็ดี แม้มีการเร่งพัฒนาวัคซีนต้านโควิด-19 ทั่วโลก แต่ยังไม่มีตัวใดได้รับอนุมัติในสหรัฐฯ และผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าจะมีคนตายอีกหลายพันคนในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้า