มาถึงขั้นนี้...คงไม่ถึงกับต้องเสียเวลาไปวิเคราะห์เจาะลึก สังเคราะห์ข่าว คุ้ยข่าว ขยี้ข่าว ฯลฯ อะไรกันมากมาย สำหรับการเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกัน ที่กำลังจะอุบัติขึ้นมาในอีกไม่กี่วันนับจากนี้ เพราะค่อนข้างเป็นที่เห็นพ้องต้องกัน โดยส่วนใหญ่ไม่ว่าจะนักวิเคราะห์ นักสังเกตการณ์ กูรู้-กูไม่รู้ ฯลฯ ทั้งในอเมริกา หรือในเมืองจีนก็ตามที ว่าไม่ว่า “ทรัมป์บ้า” หรือ “โจซึมเซา” ผงาดขึ้นเป็นประธานาธิบดีอเมริกาเที่ยวนี้ ประเทศมหาอำนาจสูงสุดในโลกอย่างคุณพ่ออเมริกา ก็ยังน่าที่จะต้องหาทางไล่ฟัด ไล่ถีบ ไล่กระทืบ คุณพี่จีน อย่างไม่คิดจะลดละ ไม่คิดจะลดราวาศอกอยู่แล้วแน่ๆ...
คืออย่างที่เคยว่าๆ เอาไว้แล้วนั่นแหละว่า...ไม่ว่าจะ “เดโมแครต” หรือ “รีพับลิกัน” สุดท้าย...ก็ “น้ำดำ” หรือไม่ได้ต่างอะไรไปจาก “เป๊ปซี่” กับ “โคล่า” นั่นแหละทั่น ด้วยเหตุนี้แนวโน้มที่จะเกิดการไล่ฟัด ไล่งับ ไล่ถีบ ไล่กระทืบ ระหว่างมหาอำนาจสูงสุดของโลกกับมหาอำนาจคู่แข่ง อย่างจีนและรัสเซีย จึงน่าจะเป็นไปโดยต่อเนื่อง หรือโดยไม่น่าลดราวาศอกใดๆ ลงไปมากมายสักเท่าไหร่หรืออย่างที่บทความชิ้นล่าสุดในหนังสือพิมพ์ “เดอะ การ์เดียน” ของอังกฤษเขาสรุปเอาไว้นั่นแหละว่า... “Whether Trump or Biden wins, Us-China relations look set worsen” หรือยังไงๆ...สัมพันธภาพระหว่างจีนและอเมริกา ก็น่าจะมีแต่เลวลงๆ ไปตามลำดับ โดยไม่ว่านักวิเคราะห์ นักสังเกตการณ์ สำนักไหนต่อสำนักไหน ต่างก็ดูจะเห็นพ้องไปในแนวนี้ด้วยกันทั้งสิ้น...
ส่วนที่น่าสนใจอยู่พอสมควร เห็นจะเป็นคำพูด หรือข้อวิเคราะห์ของ “นายJacques deLisle” ผู้อำนวยการองค์กร “Center for the Study of Contemporary China” แห่งมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย ที่สรุปเอาไว้ประมาณว่า...แม้ว่าในช่วงระยะนี้ฝ่ายจีนอาจยอม “กัดฟันทน” ต่อการยั่วยุของอเมริกาอยู่พอประมาณ แต่ถ้าหากหลังการเลือกตั้งผ่านไปเรียบร้อยแล้ว ความเคลื่อนไหวต่างๆ ยังเป็นไปในรูปที่เป็นอยู่ โอกาสที่จะเกิดการ “เผชิญหน้าทางทหาร” ของทั้งสองฝ่าย ย่อมมีสิทธิเป็นไปได้สูงเอามากๆ ด้วยเหตุเพราะการเล่นบท “ดาวยั่ว” ของคุณพ่ออเมริกาช่วงหลังๆ นี้ คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้ว่า...ช่างเป็นอะไรที่น่า “เปรี้ยวตีน” ซะเหลือเกิน อย่างเช่น การออกมาป่าวประกาศ หรือออกมายอมรับของผู้อำนวยการฝ่ายมวลชนสัมพันธ์ของกองทัพอากาศในอเมริกาในแปซิฟิก (US Pacific Air Force) “พันโทTony Wickman” เมื่อช่วงเช้าวันเสาร์ (24 ต.ค.) ที่ผ่านมาตามเวลาปักกิ่ง ว่า “เครื่องบินสอดแนม” ที่บินอยู่เหนือน่านฟ้าไต้หวันเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา คือเครื่องบิน US-RC-135 ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ จริงๆ!!!
และนั่นเองที่ทำให้บรรณาธิการ “Global Times” สื่อทางการของจีน อย่าง “นายHu Xijin” อดไม่ได้ที่จะต้องเผยแพร่บทความเมื่อช่วงวันเสาร์ที่ผ่านมา ว่าด้วยเรื่อง “PLA could send jets over Taiwan to defend sovereignty if US military jets fly over island.” หรือกองทัพปลดแอกประชาชนจีน ควรต้องส่งเครื่องบินขับไล่เข้าไปยังน่านฟ้าไต้หวัน เพื่อปกป้องอำนาจอธิปไตยของจีน ถ้าเครื่องบินสหรัฐฯ ยังสามารถบินเหนือน่านฟ้าเกาะแห่งนี้ได้ อะไรทำนองนั้น หรือพูดง่ายๆ ก็คือ...การกระทำในลักษณะเช่นนี้ ถือเป็นการละเมิด “เส้นตาย” ของนโยบายจีนเดียว อย่างเห็นได้โดยชัดเจน จนทำให้ บก.สื่อทางการของจีนรายนี้ที่หนักไปทาง “แดง-ไม่แดง...แต่ขอให้แรงเข้าว่า” เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ถึงกับต้องเริ่มวาดภาพจินตนาการถึงการ “รวมชาติไต้หวัน” เอาไว้ตั้งแต่ ณ ช่วงขณะนี้...
ยิ่งถ้าหากนำไปบวกรวมกับคำพูด คำจา ของผู้นำสูงสุดของจีน อย่างประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” ที่ชักเริ่มออกอาการ “สี ทนไม่ได้” ยิ่งเข้าไปทุกที โดยเฉพาะคำพูดในระหว่างพิธีเฉลิมฉลองครบรอบ 70 ปีของสงครามเกาหลี (1950-1953) เมื่อช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา นั่นคือคำพูดที่ว่า... “ชาวจีนทั้งหลาย ควรเรียนรู้วิธีการในการพูดจากับผู้รุกราน ด้วยภาษาที่พวกเขาพอจะเข้าใจ” หรือ “คนจีนไม่ใช่เป็นผู้ที่คิดจะสร้างความยุ่งยาก แต่ก็ไม่เคยกลัวใคร และไม่ว่าต้องเผชิญกับความยากลำบากขนาดไหน 2 ขาของเราจะไม่สั่น และแผ่นหลังของเราจะไม่ยอมค้อมศิโรราบให้กับใคร” นี่...แดง-ไม่แดง...แรง-ไม่แรง เมื่อเทียบกับ “นายHu Xijin” ก็คงต้องลองไปนั่งคิดคำนวณกันดูเอาเอง...
ส่วนที่ไม่ถึงกับแดง หรือไม่ถึงกับแรง...แต่หนีไม่พ้นต้องนำมาคิดไป-คิดมา ไม่ต่ำกว่า 4-5 ตลบเป็นอย่างน้อย น่าจะเป็นคำพูด คำจา ของอภิมหาอำนาจคู่แข่งอีกรายของคุณพ่ออเมริกา นั่นก็คือผู้นำรัสเซียอย่างประธานาธิบดี “วลาดิมีร์ ปูติน” ผู้นี้...นี่เอง!!! ที่ได้ไปพูด ไปอธิบายให้กับบรรดานักคิด นักวิชาการ ประเภท “think-tank” ของรัสเซีย ณ สโมสร “Valdi Discussion Club” เมื่อช่วงวัน-สองวันที่ผ่านมา ถึงความเป็น “หุ้นส่วนยุทธศาสตร์” โดยเฉพาะทางทหาร ระหว่างจีนกับรัสเซีย ที่เป็นอะไรที่ลุ่มลึกลึกซึ้งระดับ “เกินกว่าใครจินตนาการได้” หรือเป็นสิ่งที่สามารถ “เปลี่ยนสมดุลทางภูมิรัฐศาสตร์” ของโลกทั้งโลกเอาเลยก็ว่าได้ หรือถึงขั้นที่นักวิเคราะห์ชาวอังกฤษ ผู้เชี่ยวชาญด้านเอเชียตะวันออก อย่าง “นายTom Fowdy” ต้องหยิบไปตั้งเป็นคำถามเอาไว้ในข้อเขียน บทความ เรื่อง “A Russia-China military alliance would be a bulwark against America’s global Imperialism. Is it time for Washington to panic?” หรือความเป็นพันธมิตรทางทหารระหว่างรัสเซียและจีน กลายเป็นกำแพงป้องกันลัทธิครองความเป็นจ้าวของอเมริกา และนี่คือช่วงเวลาที่วอชิงตันต้องปั่นป่วนหรือไม่ อย่างไร? อะไรประมาณนั้น
โดยอันที่จริงแล้ว...ผู้ที่พยายามอรรถาธิบายถึงความลุ่มลึกลึกซึ้งของความเป็น “หุ้นส่วนยุทธศาสตร์” โดยเฉพาะในทางทหารระหว่างจีนกับรัสเซียมาแล้วก่อนหน้านี้ ก็คงหนีไม่พ้นไปจากผู้นำจีน อย่างประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” นั่นเอง ที่เคยเปิดอกแบหรากับสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีน เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคมปี ค.ศ. 2016 หรือช่วงครบรอบ 95 ปีแห่งการก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งเคยหยิบยกมาให้ฟังๆ กันไปบ้างแล้ว โดยถ้าจะนำมารีวายน์อีกรอบคงไม่น่าจะขัดหู ขัดตา กันสักเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะคำพูดประโยคที่ว่า... “โลกกำลังอยู่ริมขอบเหวแห่งการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง และเรากำลังได้เป็นประจักษ์พยานต่อการล้มละลายของมหาอำนาจอย่าง EU กำลังได้เห็นว่า...ระบบเศรษฐกิจของประเทศอภิมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ จะล่มสลายลงไปแบบไหน และนี่เอง...ที่จะเป็นตัวบ่งชี้ถึงการสิ้นสุดของระเบียบโลกใหม่ (New World Order) ดังนั้น...ในช่วงอีกประมาณ 10 ปีนับจากนี้ เราคงมีโอกาสได้เห็นระเบียบโลกอีกแบบหนึ่ง ซึ่งไม่เหมือนกับที่เคยเป็นมาก่อนหน้านี้ โดยมี...กุญแจสำคัญ...ที่จะทำให้สิ่งเหล่านี้ เป็นจริง-เป็นจังขึ้นมาได้ นั่นก็คือ...ความร่วมมือทางยุทธศาสตร์ระหว่างจีนกับรัสเซีย...”
ดังนั้น...เอาเป็นว่า ไม่ว่าใครแพ้-ใครชนะ สำหรับการเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกันในอีกไม่กี่วันนับจากนี้ แต่การหันมาไล่เตะไล่ถีบ ไล่กระทืบ หรือการเผชิญหน้าระหว่างอภิมหาอำนาจสูงสุดอย่างคุณพ่ออเมริกา กับมหาอำนาจคู่แข่งอย่างจีนและรัสเซีย คงต้องยอมรับเอาจริงๆ นั่นแหละว่า เมื่อมาถึงขั้นนี้...มันได้กลายเป็น “ข้อเท็จจริง” อันมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธของโลกใบนี้ในอนาคตเบื้องหน้า หรือในอนาคตอันใกล้ ส่วนใครจะอยู่-ใครจะไป ใครจะเป็นผู้ลั่นกระสุนนัดแรก และนัดที่สอง ที่สามตามมา อันนี้...คงต้องไปนั่งนึก นอนนึกกันเอาเองก็แล้วกัน...