สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ขอให้ทหาร “ทุ่มเทจิตใจและพลังงานให้พร้อมสำหรับทำสงคราม” ระหว่างการเยือนฐานทัพแห่งหนึ่งในมณฑลกวางตุ้ง ทางภาคใต้ของประเทศเมื่อวันอังคาร (13 ต.ค.) ท่ามกลางสถานการณ์ความเครียดกับสหรัฐฯ ทั้งในประเด็นไต้หวันและการรับมือกับโรคระบาดใหญ่โควิด-19 ตามรายงานของสำนักข่าวซินหัว สื่อมวลชนแห่งรัฐ
ระหว่างตรวจเยี่ยมกำลังพลนาวิกโยธินแห่งกองทัพปลดแอกประชาชน ในเมืองแต้จิ๋ว สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สี ได้บอกกับบรรดาทหารให้คงสถานะตื่นตัวขั้นสูง “พวกคุณควรเตรียมจิตใจและพลังงานให้พร้อมสำหรับการเข้าสู่สงคราม และต้องรักษาความตื่นตัวในขั้นสูงสุด กองทัพเรือมีหลากหลายภารกิจ และคำสั่งที่พวกคุณจะได้รับก็แตกต่างกันออกไป ดังนั้น พวกคุณควรฝึกให้พร้อมสำหรับการเข้าสู่สงคราม และยกระดับมาตรฐานการฝึกและความสามารถในการรบ” ผู้นำจีนกล่าว
นอกจากนี้เขายังกล่าวอีกว่า กองทัพเรือต้องรับผิดชอบภารกิจสำคัญยิ่งในการปกป้องดินแดนและอำนาจอธิปไตย รวมทั้งผลประโยชน์ของกองทัพเรือและผลประโยชน์ในต่างแดน ซึ่งถูกตีความว่าเป็นการเอ่ยถึงไต้หวันและทะเลจีนใต้
จุดประสงค์หลักของการเยือนมณฑลกวางตุ้งของสี คือกล่าวสุนทรพจน์ในวาระครบรอบ 40 ปี เขตเศรษฐกิจพิเศษเสิ่นเจิ้นในวันพุธ (14 ต.ค.) ซึ่งก่อตั้งในปี 1980 เพื่อดึงดูดเงินลงทุนจากต่างชาติและมีบทบาทสำคัญที่ช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจของจีนกลายเป็นเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของโลก
อย่างไรก็ตาม การตรวจเยี่ยมกำลังพลครั้งนี้เกิดขึ้นในขณะที่ความตึงเครียดระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในระดับสูงสุดในรอบหลายทศวรรษ ท่ามกลางความไม่ลงรอยกันในประเด็นไต้หวันและแนวทางการรับมือกับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งก่อความแตกแยกอย่างรุนแรงระหว่างวอชิงตันกับปักกิ่ง
ทำเนียบขาวแจ้งต่อสภาคองเกรสในวันจันทร์ (12 ต.ค.) ว่าพวกเขามีแผนเดินหน้าขายระบบอาวุธล้ำสมัย 3 ชนิดแก่ไต้หวัน ในนั้นรวมถึงระบบยิงจรวดหลายลำกล้องซึ่งเคลื่อนที่ได้ง่าย High Mobility Artillery Rocket System (HIMARS)
จ้าว ลี่เจียน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน เรียกร้องวอชิงตัน “ยกเลิกแผนขายอาวุธใดๆ แก่ไต้หวันในทันที และตัดทุกความสัมพันธ์ด้านการทหารระหว่างสหรัฐฯ กับไต้หวัน”
แม้ไต้หวันไม่เคยถูกควบคุมโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีน แต่พวกเจ้าหน้าที่ในปักกิ่งยืนยันว่าเกาะประชาธิปไตยและปกครองตนเองแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งในดินแดนของพวกเขา และตัวของ สี จิ้นผิง เอง ก็ไม่เคยบอกปัดความเป็นไปได้ที่จะใช้กำลังทหารเข้ายึดเกาะแห่งนี้หากมีความจำเป็น
แม้มีเสียงขุ่นเคืองใจมาจากรัฐบาลจีน แต่ความสัมพันธ์ระหว่างวอชิงตันกับไทเปยิ่งใกล้ชิดกันมากขึ้นภายใต้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทั้งนี้เมื่อเดือนสิงหาคม อเล็กซ์ อาซาร์ รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์ของสหรัฐฯ กลายเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงสุดของอเมริกาที่เดินทางเยือนไต้หวันในรอบหลายทศวรรษ โดยเขาไปเยือนเกาะแห่งนี้เพื่อหารือเกี่ยวกับโรคระบาดใหญ่
ปักกิ่งตอบโต้ด้วยการยกระดับการซ้อมรบใกล้ๆ ไต้หวัน โดยพบเห็นเครื่องบินรบของจีนเกือบ 40 เที่ยวบิน บินข้ามเส้นกลางระหว่างแผ่นดินใหญ่กับไต้หวันในวันที่ 18-19 กันยายน
มาร์ค เอสเปอร์ รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ เคยกล่าวไว้เมื่อวันที่ 16 กันยายน ว่าจีนไม่สามารถทัดเทียมกับอเมริกาได้ในแง่ของแสนยานุภาพกองทัพเรือ และตราหน้าปักกิ่งว่าเป็น “ผู้ทรงอิทธิพลตัวร้าย”
“จีนและรัสเซียกำลังใช้เศรษฐกิจแบบล่าเหยื่อ, การล้มล้างทางการเมืองและกำลังทหาร ในความพยายามเบี่ยงสมดุลอำนาจไปในทิศทางที่พวกเขาต้องการ และบ่อยครั้งที่ชาติอื่นๆ ต้องชดใช้” เอสเปอร์กล่าว
(ที่มา : ซีเอ็นเอ็น)