ก่อนการดีเบตสุดท้าย และเหลืออีกเพียงสองอาทิตย์ ก็จะถึงวันลงคะแนนพิพากษาการเลือกตั้งปธน.สหรัฐฯ ในวันที่ 3 พฤศจิกายน ทั้งปธน.ทรัมป์และคู่ท้าชิงโจ ไบเดน ต่างลงพื้นที่ในรัฐที่ต้องทำยุทธการศึก (Battleground States) อย่างเข้มข้น
มีอยู่ประมาณ 10 รัฐที่ทรัมป์เป็นฝ่ายชนะคะแนน Electoral เมื่อ 4 ปีที่แล้ว และซึ่งขณะนี้โจ ไบเดน สามารถมีคะแนนสูงกว่าทรัมป์ในปีนี้ แต่คะแนนที่โจ ไบเดน นำอยู่ ก็ไม่ถึงกับจะสามารถนอนใจได้ว่า ไบเดนจะชนะแบบขาดลอย
แม้โพลต่างๆ ออกมาในทางเดียวกันว่า ไบเดนกำลังนำทรัมป์ในรัฐยุทธการศึก แต่ความสยองจากการแพ้ชนะอย่างเส้นยาแดงเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ที่ฮิลลารีแพ้แค่ 1 หรือ 2 เปอร์เซ็นต์ (เป็นหลักไม่ถึง 2 หมื่นจาก 1 ล้านเสียง) ทำให้ไบเดนไม่ประมาท และทรัมป์ก็ตระเวนไปหาเสียงชนิดไม่ยอมเหนื่อย เพื่อกู้คะแนนกลับคืนมา
การทำโพลในการเลือกตั้งครั้งนี้ ได้ถอดบทเรียนจากความผิดพลาดครั้งที่แล้วเมื่อ 4 ปี โดยเพิ่มน้ำหนักให้แก่กลุ่มคนผิวขาวมากขึ้น ซึ่งในครั้งที่แล้วที่โพลพลาดก็เพราะให้น้ำหนักสัดส่วนของคนผิวขาวผู้ใช้แรงงานน้อยไปนั่นเอง จนทำให้คะแนนในรัฐยุทธการศึกของฮิลลารีดูสูงกว่าคะแนนของทรัมป์ ซึ่งฐานเสียงของทรัมป์คือผู้ใช้แรงงานผิวขาวนั่นเอง
แต่ที่สำคัญคือ บรรดาฝ่ายนำของพรรครีพับลิกันทั้ง ส.ส., ส.ว. จำนวนหนึ่งเริ่มทยอยกันออกมา เว้นระยะห่างจากทรัมป์ ที่เรียกกันว่า Jump Ship คือโดดหนีออกจากเรือทรัมป์ ที่ดูทีท่าว่ากำลังจะล่มนั่นเอง ตัวอย่างเช่น ในการเดินทางไปหาเสียงของรองปธน.ไมค์ เพนซ์ บินไปที่รัฐ Maine ปรากฏว่าไม่มี ส.ว.รีพับลิกันคนดัง (เป็นมากว่า 20 ปี) ซูซาน คอลลินส์ ไปรอรับหรือไปขึ้นเวทีหาเสียงด้วย
เธอกลับบินจากรัฐเมนไปยังดี.ซี. เพื่อเลี่ยงไม่ขึ้นเวทีหาเสียงให้ทรัมป์
และที่ดี.ซี. เธอได้ประกาศจะไม่ลงคะแนน (ในวุฒิสภา) ให้กับผู้พิพากษาเอมี แบร์เร็ตต์ ซึ่งปธน.ทรัมป์เป็นผู้เสนอชื่อเข้าวุฒิสภา เพื่อให้วุฒิสภารับรองให้ผู้พิพากษาเอมีได้เข้ารับตำแหน่งผู้พิพากษาสูงสุด
ซูซาน คอลลินส์ ได้แสดงถึงเธอไม่สนับสนุนทรัมป์ในการเลือกตั้งครั้งนี้
ยังมี ส.ว.มิตต์ รอมนีย์ ที่เคยสมัครตำแหน่งปธน.กับโอบามา ก็ออกมาประกาศแล้วว่า จะลงคะแนนให้กับไบเดน ทั้งๆ ที่เขาก็ประกาศว่า-ไม่ได้เห็นด้วยกับนโยบายบางอย่างของไบเดน แต่เขาต้องเลือกไบเดนเพื่อไม่ให้ประเทศชาติต้องแตกแยก (จากฝีมือของทรัมป์) ไปมากกว่านี้
ในรัฐสนิม (Rust-belt States) ที่เป็นรัฐที่ต้องทำยุทธการแตกหัก มีอยู่ 3 รัฐที่เคยให้คะแนนจนปธน.เดโมแครตชนะมาเกือบ 40 ปี แต่มีเปลี่ยนไปเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ที่คะแนน Electoral กลับให้แก่ทรัมป์ (ชนะแบบเส้นยาแดง) ได้แก่รัฐเพนซิลเวเนีย, มิชิแกน, วิสคอนซิน ตอนนี้มิชิแกนก็มีผู้ว่าคนใหม่เป็นเดโมแครต และอดีตผู้ว่ารัฐเพนซิลเวเนียคือ Tom Ridge ซึ่งเป็นรีพับลิกัน เพิ่งออกมาประกาศจะลงคะแนนให้กับไบเดน แม้จะมีมุมมองไม่เห็นด้วยกับไบเดนในนโยบายบางอย่าง แต่เขาทนไม่ได้อีกต่อไปที่อเมริกาจะแตกแยกร้าวลึกภายใต้การบริหารของทรัมป์!
และล่าสุด อดีตพลเรือเอกWilliam McRaven ซึ่งเป็นผู้บังคับการหน่วยซีล (SEAL) ที่วางแผน และควบคุมการปฏิบัติการบุกจับและสังหารบิน ลาเดน เมื่อปี 2011 ได้ลงทุนเขียนในบทบรรณาธิการรับเชิญของนสพ.วอลล์สตรีท เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาว่า ประเทศสหรัฐฯ ต้องการผู้นำคนใหม่ โดยชื่อบทความของเขาคือ “ไบเดนจะทำให้อเมริกาสามารถกลับมานำได้อีกครั้ง-Biden Will Make America Lead Again” โดยบอกว่า เป็นการตัดสินใจที่ยากมาก ในฐานะ (อดีต) ทหารที่มักไม่แสดงจุดยืนทางการเมือง (พวกเขาจะถูกฝึกให้ต้องทำงานให้แก่นักการเมืองตามสายบังคับบัญชาโดยไม่รังเกียจตั้งแง่ว่าเป็นพรรคใด) และเขาตอบคำถามของผู้ดำเนินรายการทีวีว่า เขามีจุดยืนส่วนตัวในด้านโปรไลฟ์ (ไม่เห็นด้วยกับการทำแท้ง-ซึ่งเป็นนโยบายของรีพับลิกัน) และเป็นพวกสนับสนุนการพกปืน (แบบชาวรีพับลิกัน)...แต่ผมก็เห็นด้วยว่า Black Lives Matter และเหล่า Dreamers (ลูกหลานผู้แอบอพยพเข้าเมืองผิดกฎหมาย) และควรได้รับสิทธิเป็นพลเมือง-ซึ่งเป็นนโยบายของเดโมแครต)
ที่สำคัญที่สุดคือ “สหรัฐฯ กำลังเดินไปในทางที่ผิดขณะนี้ ก็เพราะผู้นำนั่นเอง... จึงควรเปลี่ยนผู้นำเป็นไบเดน ซึ่งจะดีกว่าคนปัจจุบันอย่างมาก”
ผู้สมัคร ส.ส., ส.ว.รีพับลิกันหลายคนเริ่มออกมาแสดงความเห็นว่า ทรัมป์ควรหยุดโจมตีคุณหมอเฟาซี เพราะทรัมป์เพิ่งออกมาถากถางหมอเฟาซีว่า อยู่มานานนมถึง 500 ปีแล้ว (คล้ายๆ ว่าคร่ำครึ-ไม่น่าเชื่อถือ) และคนอเมริกัน ไม่ควรให้น้ำหนักต่อคำชี้แนะของหมอเฟาซีที่ว่า ต้องสวมหน้ากาก, อยู่ห่างๆ อย่าแออัด เพราะหมอฟันธงไปแล้วว่า การไปหาเสียง (ของทรัมป์) โดยให้คนยืนอยู่ชิดๆ กัน และไม่สวมหน้ากาก (ตามอย่างผู้นำ-ทรัมป์) จะยิ่งทำให้มีการติดเชื้อโควิดอย่างน่ากลัวมาก โดยเฉพาะในขณะที่กำลังเข้าสู่ฤดูหนาว ที่จะเป็นการระบาดรอบสอง
ทรัมป์โจมตีคุณหมอเฟาซีว่าเป็นตัวหายนะ (Disaster) ก่อความวุ่นวายกับสิ่งที่ทรัมป์กำลังทำอยู่อย่างได้ผลกับโควิด (แม้ตัวเลขคนตายและติดเชื้อกำลังพุ่งสูงขึ้น) คือ ทรัมป์บอกว่า โรคโควิดกำลังจะหายหมดไปขณะนี้!
เขายังเรียกแบบเยาะเย้ยว่า คุณหมอเฟาซีเป็น Idiot (ไอ้งั่ง!) ก็เพื่อให้เหล่าผู้สนับสนุนเขาจะได้ไม่ไปฟังคำแนะนำของหมอเฟาซี
กระแสตีจากของเหล่าผู้นำรีพับลิกัน ที่กำลังทยอยออกมาประกาศจะลงคะแนนให้ไบเดน น่าจะส่งผลต่อคะแนนของทรัมป์แน่นอน