เจอกับการ “แฟลชแดนซ์-แฟลชม็อบ” ของพวกเด็กๆ ในบ้านเราช่วงนี้...เล่นเอารัฐบาลท่านนายกฯ “บิ๊กตู่” หนีไม่พ้นต้อง “บวดหัว” ชนิดยา “บวดหาย” หรือยาใดๆ ก็น่าจะเอาไม่อยู่!!! ด้วยเหตุเพราะผลุบๆ โผล่ๆ ขึ้นมากันเป็นกระจุกๆ โดยแต่ละกระจุก ต่างก็ไม่ได้ “หะรอมหะแรม” เอาเลยแม้แต่น้อย ดำทะมึน มันละเลื่อม นุงนัง นัวเนีย ยุ่งเหยิงและยั้วเยี้ย ชนิดจะจับเอาไป “รีดให้ตรง” กันไปเป็นเส้นๆ น่าจะเป็นไปไม่ได้เอาเลย...
ส่วนคราวนี้...จะเอาไงกันดี เอาไงกันต่อ อันนี้...คงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของบรรดาผู้ซึ่งมีอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบไปว่ากันเอาเองก็แล้วกัน เพราะถ้าจะว่าไปแล้ว...อุบัติการณ์ของการแฟลชแดนซ์-แฟลชม็อบในช่วงระยะนี้ ไม่ว่าจะเป็นสังคมประชาธิปไตย สังคมเผด็จการ หรือสังคมใดๆ ก็แล้วแต่ ล้วนแล้วแต่ต้องถือเป็นอุบัติการณ์แบบ “ปกติ-ธรรมดา” ของแต่ละสังคม แต่ละประเทศไปแล้วก็ว่าได้ จะด้วยเหตุเพราะความคับแค้นแน่นอกภายในสังคมนั้นๆ อันเนื่องมาจากปัญหาทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม หรือด้วยเหตุเพราะความก้าวหน้า ก้าวไกลของ “เทคโนโลยี” ที่มีส่วนไม่น้อย ในการจุดประกาย จุดไฟในนาครให้เกิดการรวมตัว การยกระดับ ของม็อบแต่ละม็อบ จนออกจะ “เอาเรื่อง” ไปด้วยกันทั้งสิ้น ก็แล้วแต่จะไปวิเคราะห์ สังเคราะห์ ไปหาข้อสรุปกันไปตามลำดับขั้น...
พูดง่ายๆ ว่า...ไม่ใช่แต่เฉพาะ “บ้านเรา” เท่านั้น ที่ต้อง “บวดหัว” ชนิดยา “บวดหาย” ก็น่าจะเอาไม่อยู่ แต่แทบทั้งโลกนั่นแหละทั่นต่างต้องเจอกับม็อบโน้น ม็อบนี้ กันไปตามสภาพ ที่ออกจะหนักหนาสาหัสอย่างเป็นพิเศษ คงหนีไม่พ้นประเทศเบลารุสของประธานาธิบดี “อเล็กซานเดอร์ ลูคาเชนโก” แถวๆ ชายแดนรัสเซียโน่นเลย จะด้วยเหตุเพราะเผอิญดัน “อยู่ยาวว์ว์ว์” จนออกจะน่าเบื่อ น่ารำคาญยิ่งเข้าไปทุกที คืออยู่มาตั้งแต่ปีค.ศ. 1994 เลยเถิดซะยิ่งกว่าช่วง “ยุทธศาสตร์ 20 ปี” ของท่านนายกฯ “บิ๊กตู่” เกือบ 5 ปี 6 ปีเข้าไปแล้ว หรือไม่ อย่างไร ก็แล้วแต่ จึงหนีไม่พ้นต้องเจอกับแฟลชแดนซ์ แฟลชม็อบ ระดับมากันเป็นแสนๆ เกิดการประท้วงแล้ว ประท้วงอีก จนแม้แต่รัฐบาลรัสเซียก็ไม่รู้หาทางช่วยด้วยวิธีไหน แบบไหนกันดี แม้เป็นเรื่องคอขาด-บาดตายมิใช่น้อย สำหรับยุทธศาสตร์ความมั่นคงของรัสเซีย ถ้าการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในเบลารุส ดัน “สวิง” ไปในด้านตรงข้าม หรือกลายเป็นการ “ขยับแนวรุก” ของนาโต ให้เข้ามาประชิดติดพันกับพรมแดนรัสเซียยิ่งไปกว่านี้...
แต่ก็นั่นแหละ...บรรดาประเทศยุโรป ที่ยังคงระแวงสงสัย ไม่ไว้วางใจรัสเซียอยู่เช่นเดิม ก็ใช่ว่าจะปลอดโปร่งโล่งสบายซะที่ไหนการประท้วงในฝรั่งเศส ที่เคยชุลมุน วุ่นวายมาตั้งแต่ “ม็อบเสื้อกั๊กเหลือง” ทุกวันนี้...ก็ยังคงวุ่นวายไม่รู้จบ ยิ่งต้องเจอกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสระลอกสอง ที่ทำเอาประธานาธิบดีฝรั่งเศส “นายเอ็มมานูเอล มาครง” เลี่ยงไม่พ้นต้องออกมาประกาศมาตรการ “เคอร์ฟิว” ช่วงดึกๆ ดื่นๆ หรือตั้งแต่ 3 ทุ่มไปยัน 6 โมงเช้า เริ่มตั้งแต่วันเสาร์ (17 ต.ค.) ที่ผ่านมา ไปไม่น้อยกว่าประมาณ 4 สัปดาห์นับจากนี้ เพียงเท่านี้...ก็สามารถดลบันดาลให้เกิดแฟลชม็อบ แฟลชแดนซ์ ขึ้นมาโดยฉับพลัน-ทันที เกิดการออกมารวมตัวของบรรดาเจ้าของ ลูกจ้าง บุคลากรร้านอาหาร ภัตตาคาร ผับ บาร์ คาเฟ่ ฯลฯ ที่ต้องปิดร้าน ขาดลูกค้าเป็นจำนวนนับพันๆ คน เมื่อช่วงวันเสาร์ที่ผ่านมา เกิดการจุดพลุ จุดตะไลต่อต้านคำสั่งประธานาธิบดี พร้อมกู่ก้องร้องตะโกนคำว่า “เสรีภาพ” แบบเดียวกับพวกเด็กๆ บ้านเรา ผสมผสานไปกับม็อบที่บังเกิดความคับแค้น กรณีครูโรงเรียนฝรั่งเศส โดนพวกที่คลั่งไคล้ศาสนาอิสลาม ตัดหัว คั่วแห้ง จนแทบไม่รู้ว่าม็อบไหนเป็นม็อบไหน แต่ก็ล้วนนำมาซึ่งความ “บวดหัว” ไปด้วยกันทั้งสิ้น ทั้งปวง...
ส่วนอังกฤษก็คงไม่ต่างไปจากกัน...แม้จะมีผู้ “ติดเชื้อ” ไวรัสโควิดภายในประเทศไปแล้วถึงเกือบ 8 แสนราย ตายไปแล้ว 4 หมื่นกว่า แต่เมื่อนายกรัฐมนตรีหัวกระเซิง “นายบอริส จอห์นสัน” ประกาศเตือนภัย “ความเสี่ยงในระดับสูง” ห้ามไม่ให้ชาวเมืองผู้ดีออกจากบ้านมาพบปะผู้คนภายนอก ห้ามรวมตัวในพื้นที่กลางแจ้งเกินกว่า 6 คนขึ้นไป เรียกว่า...ไม่น้อยไปกว่าการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินในบ้านเราทำนองนั้น แวบเดียวเท่านั้น...ก็ส่งผลให้บรรดาชาวอังกฤษออกมาแฟลชแดนซ์ แฟลชม็อบ กันกลางถนนออกซ์ฟอร์ด ไม่ต่ำกว่าเป็นพันๆ คน โดยจะต้องไล่ทุบ ไล่ตี ไล่กระทืบ ฯลฯ กันอีกในระดับไหน แบบไหน ก็ยังมิอาจสรุปได้ เพราะเท่าที่ไล่ทุบ ไล่กระทืบกันไปแล้วก่อนหน้านี้ เอาไป-เอามา...หนักซะยิ่งกว่าการเอา “น้ำฉีด” ในบ้านเราไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า...
เหมือนอย่างที่กรุงปราก สาธารณรัฐเช็ก เมื่อช่วงวันอาทิตย์ (18 ต.ค.) ที่ผ่านมานั่นแหละ การประท้วงต่อต้านมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด โดยบรรดาชาวเช็กทั้งหลาย เล่นเอาเจ้าหน้าที่ตำรวจถึงขั้นต้องงัดเอา “แก๊สน้ำตา” ออกมาใช้ หลังจากที่ “ปืนฉีดน้ำใส่สารเคมี” ชักจะเอาไม่อยู่ หรือต้องไล่ทุบ ไล่กระทืบกันไปพอสมควร ถึงจะทำให้ชาวเช็กที่ออกมาสุมหัว รวมตัวที่จัตุรัสกลางเมืองเก่า โดยใช้ก้อนหินและพลุไฟเป็นอาวุธ พอที่จะยอมสลายตัว ส่วนจะกระจัดกระจายออกไป “ดาวกระจาย” อยู่ ณ ที่ไหนๆ อีกต่อไป คงต้องไปอัพเดตสถานการณ์เอาเองก็แล้วกัน เพราะยังมีอีกไม่รู้กี่ต่อกี่ประเทศ ต่างต้องเจอกับแฟลชม็อบ แฟลชแดนซ์ ไปด้วยกันทั้งสิ้น ไม่ว่าอิสราเอล เลบานอน เลยไปถึงไอวอรี่โคสต์ ไนจีเรีย ฯลฯ โน่นเลย...
แต่ที่หนักเอามากๆ...น่าจะหนีไม่พ้นไปจากประเทศประชาธิปไตยของแท้และดั้งเดิม อย่างคุณพ่ออเมริกาของหมู่เฮานั่นแหละ ที่นับวัน...การประท้วงชักออกอาการ “สุดโต่ง” ไปด้วยกันทั้งสองฝ่าย ไม่ว่าฝ่ายสนับสนุน หรือฝ่ายต่อต้าน “ทรัมป์บ้า” เห็นว่าเมื่อช่วงวัน-สองวัน (17 ต.ค.) ที่ผ่านมา ขณะที่ฝ่ายสนับสนุน “ทรัมป์บ้า” สวมหมวก “Make America Great Again” ถือธงชาติอเมริกันโบกสะบัดอยู่แถวๆ หน้าตึก “United Nations Plaza” ณ นครซานฟรานซิสโก จู่ๆ...ก็โดนพวก “Antifa” โดดขึ้นไปไล่ชก ไล่กระทืบ ชนิดเลือดกลบปาก ฟันหักไปสองซี่-สามซี่ แทบไม่ต่างไปจากการโชว์แม่ไม้ศิลปะมวยไทย ในช่วงวันที่ 14 ตุลาคมที่ผ่านมาของบ้านเรายังไง-ยังงั้น แต่ของอเมริกาน่าจะ “หนัก” ยิ่งกว่า เพราะต่างฝ่ายต่างมี “อาวุธ” ครบมือไปด้วยกันทั้งสิ้น ขึ้นอยู่กับว่าจะควักกันออกมายิงตอนไหนเท่านั้นเอง...
และแนวโน้มที่จะต้องยิงกัน ใส่กัน ชนิดเละกันไปเป็นข้างๆ ก็ออกจะเป็นอะไรที่ “เป็นไปได้” ค่อนข้างสูงเอามากๆ เพราะการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสในสังคมอเมริกันช่วงนี้ ออกจะหนักหนาสากรรจ์เอามากๆ ชนิดอาจไม่มีใครสนใจ “เหตุผล” ของฝ่ายหนึ่ง ฝ่ายใดต่อไปอีกแล้ว เพราะทุกๆ ฝ่ายล้วนแล้วแต่ย่ำแย่ไปด้วยกันทั้งสิ้น โดยเฉพาะใครก็ตามที่มีโอกาสได้อ่านรายงานการประเมินสถานการณ์ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อ “COVID-19” ของ “นายLawrence Summers” อดีตรัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ และ “นายDavid Cutler” ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ที่ออกมาสรุปตัวเลขกลมๆ ให้เห็นกันแบบชัดๆ ไว้ในวารสาร “The American Medical Association” เมื่อช่วงวันอาทิตย์ (18 ต.ค.) ที่ผ่านมา ว่าความสูญเสียคราวนี้จะมีมูลค่าไม่น้อยไปกว่า 16 ล้านล้านดอลลาร์เป็นอย่างน้อย หรือประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ของ “GDP” ในแต่ละปี มากกว่าความสูญเสียที่เกิดจากสงครามทั้งมวลของอเมริกา หลังเหตุการณ์ 9/11 รวมกัน ไม่ว่าจะเป็นสงครามในอัฟกานิสถาน อิรัก ซีเรีย ยังไม่หนักหนาสาหัสเท่ากับความสูญเสียเพราะเชื้อไวรัสคราวนี้ ที่อาจส่งผลให้ตัวเลข “คนตาย” ไม่ใช่แค่ 2 แสนกว่าคนเท่านั้น แต่อาจขึ้นไปถึง 625,000 คน ภายในปีหน้าเอาง่ายๆ และนั่นจะทำให้ “ทุกๆ ครัวเรือน” ในประเทศ ต้องประสบความสูญเสียไม่ต่ำกว่า 200,000 ดอลลาร์ต่อครอบครัวเป็นอย่างน้อย...
สรุปเอาเป็นว่า...ไม่ว่าจะเป็นม็อบไหน บ้านเราหรือบ้านเขา สำหรับชาวบ้าน ชาวช่องโดยทั่วไป คงต้องหาทาง “ทำใจ” เอาไว้ก่อนนั่นแหละทั่น ว่า “ด้วยเหตุเพราะสิ่งนี้-สิ่งนี้...สิ่งนี้จึงเป็นไป” อย่างมิอาจปฏิเสธได้ ส่วนมันจะไปไกลถึงขั้นไหน ยกระดับถึงขั้นไหน สุดท้าย...ยังไงๆ ย่อมหนีไม่พ้นไปจากกฎเกณฑ์โดยปกติธรรมดา หรือกฎเหล็กแห่งธรรมชาติ อันว่าด้วยการ “เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-และดับไป” นั่นเอง อย่าถึงกับต้องไปหูแหก-ตาแหก อะไรมากมาย เพราะอะไรที่เกิดได้-ย่อมดับได้ ยิ่งถ้าเกิดแบบไม่ถูกที่ ถูกจังหวะ ไม่สอดคล้องกับกาละ-เทศะ เผลอๆ...อาจดับลงไปเพราะการ “กลืนกินตัวเอง” เอาเลยก็ไม่แน่!!!