พวกผู้ชุมนุมต่อต้านล็อกดาวน์ รวมตัวประท้วงใจกลางกรุงลอนดอนเมื่อวันเสาร์ (17 ต.ค.) ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากรัฐบาลสหราชอาณาจักร ยกระดับเฝ้าระวังโควิด-19 สู่ขั้นสูงสุดลำดับ 2
สหราชอาณาจักรรายงานพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ เพิ่มอีก 16,171 คนภายช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา จากข้อมูลของรัฐบาลที่เผยแพร่ในวันเสาร์ (17 ต.ค.) เพิ่มขึ้นจากระดับ 15,650 คน หนึ่งวันก่อนหน้านี้ ส่งผลให้สหราชอาณาจักรมีผู้ติดเชื้อสะสมที่ 705,428 คน ในนั้นเสียชีวิต 43,579 ราย
ด้วยการแพร่ระบาดระลอกสองกำลังรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ รัฐบาลของนายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน จึงยกระดับความเข้มข้นของจำกัดต่างๆ ในระดับท้องถิ่นในหลายพื้นที่ของอังกฤษ โดยเฉพาะจุดที่พบเคสผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เปิดทางให้ภูมิภาคอื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบน้อยกว่า ยังคงเปิดต่อไปได้ ในความหวังปกป้องเศรษฐกิจ
หลังจากผ่านพ้นเที่ยงคืนเป็นต้นมา ลอนดอนได้เคลื่อนเข้าสู่ระดับการเตือนภัย “ขั้น 2” หรือ “ระดับเสี่ยงสูง” ซึ่งห้ามประชาชนพบปะบุคคลนอกครัวเรือน ในนั้นรวมถึงเพื่อนหรือญาติๆ ที่ช่วยดูแลบุุตรหลาน ในที่พักอาศัยในร่มใดๆ
นอกจากนี้แล้ว กฎระเบียบนี้ยังรวมไปถึงห้ามประชาชนเกินกว่า 6 คนรวมตัวกันบริเวณกลางแจ้ง แต่ตำรวจเลือกที่จะไม่บังคับใช้มาตรการเหล่านี้กับพวกนักเคลื่อนไหวต่อต้านล็อกดาวน์หลายพันคนที่เดินขบวนไปตามถนนออกซฟอร์ดซึ่งในช่วงเวลาปกติ ถือเป็นหนึ่งในถนนชอปปิ้งที่พลุกพล่านที่สุดของโลก
พวกผู้ประท้วงมองว่าข้อจำกัดสกัดโควิด-19 ไม่มีความจำเป็นและละเมิดสิทธิมนุษยชนของพวกเขา บางส่วนต่อต้านการสวมหน้ากากและการฉีดวัคซีน โดยบางคนชูป้ายประท้วงมีข้อความว่า “ร่างกายของฉัน ฉันเลือกเอง ไม่เอาคำสั่งบังคับสวมหน้ากาก”
“มีหลายสิ่งที่สามารถฆ่าคุณได้ มันสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกๆ วัน” ผู้ประท้วงรายหนึ่งกล่าว “มันเกี่ยวกับการใช้ชีวิต ไม่ใช่แค่การอยู่รอด เราต้องการสนุกกับชีวิตของเรา ไม่ใช่ติดแหง็กอยู่ในบ้าน”
จนถึงวันเสาร์ (17 ต.ค.) มีพลเมืองในสหราชอาณาจักรราว57% ที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ข้อจำกัดสกัดโควิด-19 อันเข้มข้น
อย่างไรก็ตาม บรรดาพวกนักวิทยาศาสตร์จากกลุ่ม SAGE ที่คอยให้คำปรึกษารัฐบาล และพรรคแรงงาน พรรคฝ่ายค้านหลัก ต้องการให้คณะรัฐมนตรียกระดับความเข้มข้นขึ้น และกำหนดมาตรการล็อกดาวน์ทั่วประเทศช่วงสั้นๆ หรือที่เรียกว่าตัดวงจร (Circuit Breaker) เพื่อสกัดการแพร่ระบาด
(ที่มา : รอยเตอร์)