xs
xsm
sm
md
lg

โควิดระลอก 2 โจมตียุโรป Winter is Coming

เผยแพร่:   โดย: นพ นรนารถ



ทวีปยุโรปกลางฤดูใบไม้ร่วง กำลังเผชิญกับการระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกที่สอง ภายหลังการผ่อนคลายมาตรการปิดเมือง ในฤดูร้อนที่ผู้คนออกมาใช้ชีวิตนอกบ้าน เดินทางท่องเที่ยวไปต่างเมือง ต่างประเทศ แล้วกลับมาพร้อมกับเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยไม่รู้ตัว

จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ต่อวันในประเทศต่างๆ ของยุโรปรวมกันตั้งแต่กลางเดือนกันยายน พุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ จนล่าสุดมากกว่า 100,000 คนโดยเฉลี่ยต่อวัน สวนทางกับ จำนวนผู้ติดเชื้อในทวีปเอเชีย อเมริกาเหนือ ตะวันออกกลาง ละตินอเมริกา และคาริบเบียน และแอฟริกาที่ทรงตัว ลดลงหรือเพิ่มขึ้นไม่มาก

ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี โปรตุเกส สเปน และอังกฤษ มีผู้ติดเชื้อเฉลี่ยต่อวันมากที่สุดนับตั้งแต่เกิดการระบาดระลอกแรกเมื่อต้นปี

ที่ฝรั่งเศสข้อมูลอย่างเป็นทางการที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม พบว่า จำนวนผู้ติดเชื้อในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา พุ่งเกิน 30,000 คนเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่มีการแพร่ระบาด เยอรมนีมีผู้ติดเชื้อทะลุ 7,000 คน ในรอบ 24 ชั่วโมงเพิ่มขึ้นจากระดับ 5,000 คน หนึ่งวันก่อนหน้านี้ที่สเปนภายในวันเดียวมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น 13,318 คน เสียชีวิต 140 ราย ในวันที่ 15 ตุลาคม อังกฤษมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเฉลี่ยวันละประมาณ 27,900 คน

ทวีปยุโรปมีผู้ติดเชื้อรวมกัน 6.5 ล้านคน และมีผู้เสียชีวิต 2.3 แสนคนจากจำนวนผู้ติดเชื้อทั่วโลก 39.56 ล้านคน เสียชีวิต 1.1 ล้านคน

ประเทศที่มีการระบาดระลอก 2 เคยควบคุมการระบาดระลอกแรกเมื่อเดือน เมษายนได้ในระดับหนึ่ง และตัดสินใจผ่อนคลายมาตรการป้องกันในฤดูร้อน เพื่อบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจ ซึ่งทำให้โควิดกลับมาระบาดรอบใหม่ และหลายๆ ประเทศต้องใช้มาตรการล็อกดาวน์อีกครั้งหนึ่ง

ฝรั่งเศสประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน และประกาศเคอร์ฟิวส์เวลา 21.00 น. ถึง 06.00 น. ในกรุงปารีส และเมืองใหญ่อื่นๆ อีก 8 เมือง รวมทั้งมาร์แซย์ ลียง ลีลล์ และตูลูซ ตั้งแต่คืนวันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม เป็นเวลาอย่างน้อย 1 เดือน การจัดงานต่างๆ ไม่สามารถจัดได้ ผู้คนรวมตัวกันได้เพียง 10 คน และบังคับให้ประชาชนใส่หน้ากาก

รัฐบาลอังกฤษสั่งล็อกดาวน์ ลอนดอน และเมืองใหญ่อย่างเอสเซกซ์ และยอร์ก ในระดับ 2 ห้ามครอบครัวต่างบ้านมาเจอกันในสถานที่ร่มอย่างผับและร้านอาหาร เจอกันในที่กลางแจ้งได้ไม่เกิน 6 คน จำกัดคนไปงานแต่งงานได้เพียง 15 คน และงานศพ 30 คน

สเปนประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน 15 วัน ในเมืองแมดริด และเมืองอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ ตั้งแต่วันที่ 9 ตุลาคม ห้ามชุมนุมกันเกิน 6 คน จำกัดผู้คนในร้านอาหาร โรงแรมให้เหลือเพียง 50 เปอร์เซ็นต์ สั่งปิดบาร์และร้านอาหารในแคว้นคาตาลันตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม 63

เนเธอร์แลนด์สั่งปิดร้านอาหาร ร้านกาแฟตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคม ปิดร้านค้าที่ไม่ใช่ซูเปอร์มาร์เก็ตหลัง 20.00 น. นาน 4 สัปดาห์ อนุญาตให้รวมตัวกันกลางแจ้งไม่เกิน 4 คน

เยอรมนีสั่งปิดร้านอาหารและบาร์ ในเบอร์ลินหลัง 23.00 น. ประชาชนรวมตัวกันได้เพียง 10 คนในช่วงกลางวัน และ 5 คนหรือ 2 ครอบครัวตอนกลางคืน ปรับคนที่ไม่ใส่หน้ากาก 50 ยูโรหรือประมาณ 1,800 บาท

อิตาลีสั่งปิดบาร์ และร้านอาหารหลังสองยามหรือ 3 ทุ่มสำหรับร้านที่ไม่มีโต๊ะให้นั่ง ห้ามประชาชนพบปะรวมตัวกันนอกร้านระหว่าง 21.00 น. ถึง 06.00 น.

สวีเดนซึ่งไม่เคยใช้มาตรการล็อกดาวน์เลย แต่รัฐบาลแนะนำให้ประชาชนรักษาระยะห่าง และทำงานที่บ้านแบบสมัครใจ มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอีกครั้ง แต่ไม่ได้มาก และสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเหมือนประเทศอื่นๆ ได้ห้ามประชาชนรวมตัวกันเกิน 50 คน และแนะนำให้คนที่อายุเกิน 70 ปีแยกตัวจากคนอื่นๆ แต่ร้านค้า บาร์ ร้านอาหาร และสถานที่ออกกำลังกายยังเปิดได้

สำหรับประเทศไทย ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส โควิด-19 รายงานล่าสุดว่า พบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 7 รายมาจากต่างประเทศ 4 รายเป็นผู้ติดเชื้อในประเทศจากอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก 3 ราย โดยติดเชื้อจากการสัมผัสกับผู้ติดเชื้อ 2 รายก่อนหน้านี้

เป็นการพบผู้ติดเชื้อในประเทศ 2 วันติดต่อกันแล้ว จากที่เดียวกัน คือ ชาวเมียนมาร์ ในอำเภอแม่สอด

นายแพทย์ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า

“ถ้าดูตามสถานการณ์ เราคงหนีไม่พ้น การระบาดระลอก 2 ที่จะต้องเตรียมรับมืออย่างเต็มที่ ขณะนี้การระบาดในประเทศเพื่อนบ้านเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมากวันละกว่า 2,000 ราย และอยู่ประชิดชายแดนมีการพบภายในประเทศแล้ว ถึงแม้ว่าจะเป็นชาวต่างชาติ

มาตรการต่างๆ ในประเทศไทยก็ขึ้นอยู่กับพวกเราทุกคนที่จะลดการระบาดลงได้ จากการระบาดระลอกแรก เราได้เรียนรู้ว่า การล้างมือ การใช้แอลกอฮอล์เจล การใส่หน้ากากอนามัย การกำหนดระยะห่างของบุคคล ทำให้เราสามารถควบคุมสถานการณ์ได้อย่างดี แต่ขณะนี้เหตุการณ์ต่างๆ เราจะยังคงทำได้เหมือนเดิมหรือไม่ ทุกคนจะต้องช่วยกัน”


กำลังโหลดความคิดเห็น