แม้โจ ไบเดน จะไปกล่าวสุนทรพจน์กินใจที่เมืองเกตตีสเบิร์ก เพื่อเตือนให้เพื่อนร่วมชาติชาวอเมริกันระลึกถึงความแตกแยกสาหัสในสหรัฐฯ จนเกิดสงครามกลางเมืองเมื่อ 160 ปีที่แล้ว และเป็นจุดที่ปธน.ลินคอล์น ได้กล่าวสุนทรพจน์จับใจให้คนอเมริกันหันหน้าเข้าหากันเพื่อสร้างชาติ ด้วยประชาธิปไตยที่ต้องมาจากประชาชนและเพื่อประชาชน
แต่เหตุการณ์ก่อจลาจลโดยกลุ่มขาวขวาจัดที่รัฐมิชิแกน ก็สะท้อนให้เห็นถึงความแตกแยกอย่างหนักในสหรัฐฯ ขณะนี้ เกือบจะพอๆ กับสงครามกลางเมืองสมัยลินคอล์นทีเดียว
ทั้งๆ ที่ผู้ว่าที่มาจากการเลือกตั้งของรัฐมิชิแกนเป็นผู้หญิงแกร่ง เกรทเชน วิทเมอร์ แต่ก็ถูกกลุ่มขาวขวาจัดติดอาวุธ นำอาวุธกึ่งสงครามบุกล้อมศาลาว่าการ เพื่อกดดันให้เธอลาออก เพราะเธอได้ออกกฎห้ามออกนอกบ้านในช่วงที่โควิดระบาดหนักเมื่อ 3 เดือนที่ผ่านมา
ล่าสุด จากการสืบลับและสนธิกำลังหลายหน่วย นำโดยเอฟบีไอและ SWAT ก็ได้บุกทลายจับกลุ่มขาวขวาจัดติดอาวุธนี้ได้ โดยพบอาวุธสงครามและระเบิดรุนแรง พร้อมแผนจะระเบิดศาลากลางให้พังพินาศ ก่อสงครามย่อยๆ กับผู้ว่าหญิงแกร่ง พร้อมกับจับตัวเธอและครอบครัวด้วย
กลุ่มขาวขวาจัดนี้ โยงใยกับพวกนีโอนาซีซึ่งมีอยู่หลายกลุ่มมากในสหรัฐฯ ที่แอบฝึกอาวุธ และได้ขยายตัวขนาดออกมาปฏิบัติการในชุมชนอย่างเปิดเผยเปิดตัว ก็ในยุคของปธน.ทรัมป์นี้แหละ
ทรัมป์ไม่มีนโยบายรับมือกับโควิดตั้งแต่โรคเริ่มพบในคนอเมริกันเพียงไม่กี่คนในเดือนกุมภาพันธ์ และถึงกับกล่าวโกหกว่า โรคนี้ไม่อันตรายจะหายไปเอง โดยรัฐและประชาชนไม่ต้องไปป้องกันอย่างใดเลย
แต่พอเดือนเมษายน อาการแพร่เชื้อของโรครุนแรงขึ้น และมิชิแกนก็เริ่มติดเชื้อและมีคนตาย
ผู้ว่าเกรทเชน จึงประกาศล็อกดาวน์ปิดเมืองเพื่อป้องกันการระบาด แต่ทรัมป์กลับยุยงให้ฝ่ายขาวขวาจัด จัดการปลดผู้ว่าออกไป โดยเขาปลุกปั่นให้ชาวมิชิแกน “ปลดแอกมิชิแกน” ทันที
ซึ่งปฏิบัติการของกลุ่มขาวขวาจัดนี้ได้รับไฟเขียวจากท่านปธน.ทรัมป์ทีเดียว
มีทวิตเตอร์ของทรัมป์ให้ปลดแอกทั้งที่มิชิแกนและรัฐเวอร์จิเนียด้วย
ต่างกับที่อื่นๆ ที่กลุ่มปลดแอกมักอยู่ตรงข้ามกับรัฐบาลกลาง รวมทั้งที่ประเทศไทยขณะนี้ที่ดูท่าทางจะไม่รุนแรงเท่ากับกลุ่มขาวขวาจัดติดอาวุธที่มิชิแกนด้วยซ้ำ
เพราะที่ประเทศสหรัฐฯ การพกพาอาวุธได้รับการค้ำประกันสิทธิจากรัฐธรรมนูญ ซึ่งทำให้ประเทศสหรัฐฯ เป็นประเทศที่มีอันตรายทุกหนแห่งเนื่องจากคนพกพาอาวุธง่ายๆ; คนหนึ่งอาจครอบครองปืนหลายกระบอก (อย่างถูกกฎหมาย)
จนทางการจีนถึงกับออกมาขู่นักศึกษาจีนที่บ้าคลั่งจะต้องไปเรียนต่อที่สหรัฐฯ ว่า เป็นประเทศที่ประชาชนตายด้วยอาวุธปืนมากสุดในโลก
การบุกจับกลุ่มขาวขวาจัดติดอาวุธครั้งนี้ ปรากฏจับได้ตัวเอ้ๆ 13 คน พร้อมแผนพิสดารที่เอฟบีไอถึงกับอึ้ง
และพบมีทหารนาวิกโยธินถึงสองคนที่เพิ่งปลดประจำการ คนหนึ่งอายุ 26 อีกคนอายุ 23 ซึ่งฝึกการใช้อาวุธสงครามมาอย่างครบเครื่อง!!
ผู้ว่าหญิงเกรทเชนพูดเสียงสั่นเครือเล็กน้อย (เมื่อพบแผนจับเธอและครอบครัว) ว่า นี่เป็นกลุ่มก่อการร้ายที่บ้านเราเอง (Domestic Terrorist) ไม่ใช่กลุ่มก่อการร้ายสากล (ของ ISIS ที่น่าสะพรึงกลัวกับปฏิบัติการข้ามชาติ) แต่มีความโหดร้ายพอๆ กัน และได้รับการยุยงจากผู้นำประเทศคือ ปธน.ทรัมป์นั่นเอง
ทรัมป์ได้ให้ท้ายกับกลุ่มบูชาผิวขาวและเหยียดคนดำ เช่น กลุ่ม KKK และกลุ่มนีโอนาซี ตลอดระยะที่เขาอยู่ในตำแหน่ง ทั้งที่เมืองชาร์ลอตต์วิลล์, ที่รัฐเซาท์แคโรไลนาที่พวก KKK ออกมาเดินขบวนชูคบเพลิงปกป้องรูปปั้นนายพลโรเบิร์ต อี.ลี. แม่ทัพกองทัพฝ่ายใต้ในสงครามกลางเมือง และปะทะกับกลุ่มต่อต้าน KKK จนถูกพวก KKK ถอยหลังรถมาชนมีคนตายและบาดเจ็บ ที่ทรัมป์บอกว่า พวก KKK ก็มีคนดีจำนวนมากมาย พอๆ กับคนดีฝ่ายต่อต้าน KKK...ซึ่งครั้งนั้นทำเอานายพล 4 ดาวจอห์น เคลลี ตำแหน่ง Chief-of-Staff แห่งทำเนียบขาวรู้สึกห่อเหี่ยวกับคำพูดของทรัมป์
แม้แต่ในดีเบตแรกของทรัมป์กับไบเดน ทรัมป์ออกมาปกป้องกลุ่มก่อการร้ายขาวขวาจัดติดอาวุธ Proud Boys ว่า ไม่เห็นจะน่ากลัวรุนแรงอย่างใด...แต่เป็นกลุ่มซ้ายจัด Antifa (หรือกลุ่มซ้ายต่อต้านฟาสซิสต์-Anti Fascism) ต่างหากที่เลวยิ่งกว่า...ทั้งๆ ที่ไบเดนอธิบายว่า กลุ่มAntifa ไม่ติดอาวุธ เป็นแค่กลุ่มหลวมๆ ที่มารวมตัวกันช่วงเดินขบวน ไม่ใช่กลุ่มกินนอนแอบฝึกอาวุธร้ายแรงในป่าแบบกลุ่มบูชาผิวขาวตกขอบ
อาการแตกแยกในสหรัฐฯ ขณะนี้ รุนแรงยิ่งกว่าช่วง 1950’s ที่ ส.ว.โจ แมคคาร์ธี สร้างความเกลียดชังจนสังคมอเมริกันมองหน้ากันไม่สนิทใจ เกรงว่าเพื่อนบ้านจะเป็นคอมมิวนิสต์ และจะมาสอดแนมทำร้าย เพราะครั้งนั้นยังไม่ถูกปลุกปั่นจากผู้นำสูงสุดเช่นที่ทรัมป์ทำอยู่ และการพกพาอาวุธก็ไม่หนักหนาสาหัสเท่าขณะนี้
ประกอบกับครั้งนั้นไม่มีโซเชียลมีเดีย ที่มีฝ่ายนักรบคีย์บอร์ดคอยเติมน้ำมันราดใส่ใน hate speech จนปลุกปั่นให้เกิดกลุ่มก่อการร้ายขาวขวาจัดติดอาวุธรุนแรงเช่นขณะนี้
ถึงกับพวกขาวขวาจัดติดอาวุธได้สวมรอยเข้าเผาร้านค้าและปล้นสะดม ทำทีเป็นฝ่ายผู้ประท้วงอย่างสงบปราศจากอาวุธ Black Lives Matter ซึ่งปรากฏหลักฐานในซีซีทีวีที่แอบถ่ายไว้ได้ในท่ามกลางการชุมนุมประท้วงหลายแห่งในปีนี้
และน่าจะรุนแรงกว่าช่วงเดินขบวนประท้วงสงครามเวียดนามในปี 1968 ซึ่งเป็นการแตกแยกระหว่างฝ่ายรีพับลิกันที่ครองทำเนียบขาว และเกณฑ์ทหารไปตายในสงครามเวียดนาม ขณะที่ฝ่ายเดโมแครต รวมทั้งนักศึกษาทั้งประเทศเดินขบวนนัดหยุดเรียนยึดแคมปัสประท้วงการทำสงครามที่ไม่เป็นธรรม และต้องเสียงบมหาศาล รวมทั้งชีวิตนักศึกษาที่ต้องไปตายเพื่อสงครามที่ไม่เป็นธรรมครั้งนั้น
ถึงแม้โจ ไบเดน อาจจะชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้ ก็จะต้องเผชิญกับปัญหาการแตกแยกครั้งใหญ่ของสหรัฐฯ ที่เขาจะต้องพยายามให้สังคมหันกลับมาพูดจากันเพื่อช่วยกันร่วมกันแก้ปัญหาเศรษฐกิจต่อไป
ซึ่งช่วงแห่งความแตกแยกร้าวลึกในสหรัฐฯ ครั้งนี้ น่าจะทำให้ทั้งรัสเซียและจีนพอใจกับการถอยหลังของสหรัฐฯ และเปิดทางให้จีนยิ่งพัฒนาก้าวหน้าทิ้งห่างสหรัฐฯ ไปมากขึ้นทุกที