คงต้องยอมรับว่า...ออกจะเป็นอะไรที่น่าสยดสยองเอามากๆ พอๆ กับได้ดูหนังฮอลลีวูด ประเภทไซโคฯ ศุกร์ 13 ฝันหวาน นิ้วเขมือบ ซอมบี้คนกินเนื้อคน ฯลฯ อะไรประมาณนั้น สำหรับรายการ “ฮึดสู้” ของผู้นำอเมริกา ที่ถึงขั้นแหกค่าย แหกวงล้อมหมอ โผล่ออกมาถอดหน้ากากโชว์ พ่นละอองเรณูโควิดฟุ้งกระจาย สรุปว่านอกจากไม่มีอะไรน่ากลัวสำหรับเชื้อไวรัสตัวนี้ ยังถือเป็น “พรจากพระเจ้า” ซะอีกล่วย แล้วนี่...ยังเตรียมออกเดินสาย เตรียมพ่นแล้ว พ่นอีก ชนิดเป็นเทือกๆ ทั้งๆ ที่แทบทั้งทำเนียบขาว ต่างงอมพระรามเพราะเชื้อโควิด ไม่รู้กี่สิบต่อกี่สิบรายเข้าแล้ว!!!
ด้วยเหตุนี้...เปิดฉากสัปดาห์นี้ คงหนีไม่พ้นต้องไปหยิบเอาเรื่องราวเหล่านี้มาพูดจา ว่ากล่าวกันอีกนั่นแหละทั่น คือถ้าหากเป็นปุถุชนคนธรรมดา หรือนักการเมืองธรรมดา น่าจะ “ถอดใจ” ไปนานแล้ว สำหรับการวิ่งไล่ตามคู่แข่ง คู่ชิง ระดับตัวเลขสองตัว หรือเกือบ 16 จุด แต่อย่างว่า...นี่ก็คือ “ทรัมป์บ้า”ผู้ที่ย่อมต้องบ้า...ก็...บ้าวะ บ้าไปแล้ว หรือบ้าแล้วบ้าเลย การฮึดสู้ หรือการไม่คิดจะยอมแพ้คู่แข่งอย่าง “โจ ซึมเซา” ที่ถือเป็นพวก “ไอคิวต่ำ”ในทัศนะของตัวเอง จึงเป็นอะไรที่น่าจะดุเดือดเลือดพล่านยิ่งขึ้นเรื่อยๆ หรืออาจนำมาซึ่งฉากสถานการณ์แบบที่ “นายสกอตต์ ริตเตอร์”(Scott Ritter) นักคิด นักเขียน และคอลัมนิสต์วอชิงตัน โพสต์ ที่ต้องถือว่า “ไม่ธรรมดา” อยู่แล้วแน่ๆ เพราะนอกจากจะเคยดำรงตำแหน่งเป็นหนึ่งในคณะกรรมการผู้ตรวจอาวุธ สหประชาชาติ ยังถือเป็นผู้มีความเชี่ยวชาญเรื่องนโยบายต่างประเทศอเมริกา อย่างหาตัวจับยากอีกต่างหาก ที่ได้ออกมาสรุปแบบแทบจะเรียกว่า “ฟันธง” เอาเลยก็ว่าได้ เมื่อช่วงศุกร์ (9 ต.ค.) ที่ผ่านมานี่เองว่า... “America on cusp of a Civil War : No matter who wins the election, there will be no peaceful transfer of power.” หรืออเมริกากำลังอยู่ในจุดตัดแห่งสงครามกลางเมืองเอาเลยถึงขั้นนั้น โดยไม่ว่าใครแพ้-ใครชนะ น่าจะไม่มีการส่งมอบอำนาจอย่างสันติโดยเด็ดขาด!!!
นี่...น่ากลัว น่าสยดสยองถึงขั้นไหน? ใครสนใจรายละเอียดคงต้องลองไปหาอ่านกันเอาเอง แต่โดยสรุปคร่าวๆ ถึงเนื้อหาสาระที่ “นายสกอตต์ ริตเตอร์” ได้นำมาเอ่ยอ้างเอาไว้นั้น คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้ว่า ออกจะมี “น้ำหนัก” อยู่พอสมควรเหมือนกัน โดยเฉพาะการหยิบยกเอากรณี “การวางแผนลักพาตัว” หรือ “ลอบสังหาร”ผู้ว่ารัฐมิชิแกน “นางเกรทเชน วิทเมอร์” (Gretchen Whitmer) ซึ่งแน่นอนอยู่แล้วว่า...คงไม่ใช่แค่ “ทฤษฎีสมคบคิด”อยู่แล้วแน่ๆ เพราะมีการจับตัว กวาดจับบรรดาผู้ที่คบคิดวางแผน โดยหน่วยงานระดับ “เอฟบีไอ”ได้ถึง 13 ราย แถมอาจไม่ได้หมดอยู่เพียงเท่านั้น หรืออาจแค่ยอดภูเขาน้ำแข็งเอาเลยก็ไม่แน่ เพราะถ้าว่าตามคำพูด คำให้สัมภาษณ์ของอัยการประจำรัฐมิชิแกน อย่าง “นางดานา เนสเซล”(Dana Nessel) อาจมีบรรดา “นักกฎหมาย”พรรครีพับลิกันแห่งรัฐมิชิแกน ร่วมด้วย ช่วยกัน หรือร่วมสมคบคิด อีกเป็นจำนวนไม่น้อย...
โดยเหตุการณ์ดังกล่าว...ถูกนำมาผูกโยงกับการ “ทวีต”ข้อความของผู้นำอเมริกา เมื่อช่วงวันที่ 17 เมษายนที่ผ่านมา ที่พยายามสร้างแรงกด แรงบีบ ต่อผู้ว่าฯ มิชิแกน ให้เปิดช่อง เปิดโอกาสให้กับบรรดาพวก “ขวาจัด”ในพื้นที่ ในการจัดการกับความไม่สงบเรียบร้อย ไม่ว่าการประท้วงเหยียดผิว การปิดบ้าน-ปิดเมือง ที่อุบัติขึ้นมาในรัฐมิชิแกนช่วงนั้น ดังข้อความที่ว่า... “ผู้ว่าฯ มิชิแกน ควรเปิดทางเล็กๆ น้อยๆ ให้กับผู้ที่พยายามชักฟืนออกจากไฟ เพราะคนเหล่านี้เป็นคนดี เพียงแต่กำลังโกรธ เพราะความต้องการที่จะได้ชีวิตเดิมๆ ของตัวเองคืนมา โดยเฉพาะความปลอดภัย จงไปพูดกับพวกเขา ไปทำความตกลงกับพวกเขา...”จากข้อความทำนองนี้นี่แหละ ที่ถูกนำไปเกี่ยวโยงกับพวก “ขวาจัด”หรือพวกที่เรียกขานตัวเองในนาม “Wolverine Watchman” ซึ่งกำลังพยายามสร้างแรงกด แรงบีบ ต่อผู้ว่าฯ มิชิแกนในช่วงระยะนั้น และเมื่อไม่ประสบความสำเร็จ ก็เลยเริ่มต้นวางแผนร้ายๆในช่วงเดือนมิถุนายนต่อมา ตามแนวทางการสืบสวน สอบสวนของหน่วยงานเอฟบีไอ...
และแผนของพวกขวาจัด อย่าง “Wolverine Watchman”นั้น...ออกจะเป็นอะไรที่น่ากลัวเอามากๆ คือถึงขั้นคิดระดมกำลังติดอาวุธประมาณ 200 คน บุกเข้ายึดที่ทำการรัฐมิชิแกน จับตัว “นางเกรทเชน วิทเมอร์” เป็นตัวประกัน ไม่ก็ฆ่าทิ้ง!!! แต่ระหว่างที่พยายามระดมคน ระดมเงิน เพื่อซื้อปืนผาหน้าไม้และระเบิด เจ้าหน้าที่เอฟบีไอที่ชำแรก แทรกซึมเข้าไปในงานระดมทุน ก็ถือโอกาสเก็บรวบรวมข้อมูล หลักฐาน ประจักษ์พยาน ก่อนรวบตัวเข้าซังเต 13 คนรวด โดยบางรายอาจถึงขั้น “ติดคุกตลอดชีวิต” เอาเลยก็ไม่แน่ การออกมาชี้แนะ ชี้นำ ให้ผู้ว่าฯ มิชิแกน หันไปสนับสนุนพวกขวาจัด อย่าง “Wolverine Watchman” รวมทั้งการแสดงอาการยืนหยัด เคียงข้าง กลุ่มคนประเภทนี้ อย่างสุดฤทธิ์ สุดหลอด ชนิดแม้ว่าพิธีกรรายการ “ดีเบต” ครั้งแรก อย่าง “นายคริส วอลเลซ”(Chris Wallace) จะเปิดโอกาสให้กล่าวประณาม ตำหนิติติงบรรดาพวกขวาสุดโต่งเหล่านี้เอาไว้มั่ง แต่สิ่งที่หลุดปากออกมาจากประธานาธิบดีอเมริกัน อย่าง “ทรัมป์บ้า”ก็คือ “Stand back and Stand by” หรือถอยไปยืนข้างหลังแล้วก็เตรียมพร้อม อะไรประมาณนั้น...
ยิ่งไปกว่านั้น...การระดมมือกฎหมาย หรือความพยายามอาศัยกฎหมาย เป็นตัวหยุดยั้งมาตรการและนโยบายของผู้ว่าฯ มิชิแกน ไปจนการชิงแต่งตั้งผู้พิพากษาศาลสูงก่อนล่วงหน้า จนทำให้อัตราส่วนพวกปีกขวา มากกว่าพวกปีกซ้าย ไม่น้อยไปกว่า 6 ต่อ 3 ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่แหละ ที่ “นายสกอตต์ ริตเตอร์”ถือเป็นตัวส่งสัญญาณให้เห็นค่อนข้างชัดเจนว่า... “ผลการเลือกตั้งคราวนี้ อาจต้องถูกนำไปชี้ขาดตัดสินกันในศาล และเมื่อการปะทะทางกฎหมายเริ่มดุเดือดเลือดพล่าน บรรดาพวกสุดโต่งทั้งสองฝ่าย ก็จะได้เวลาลงสู่ท้องถนน และนั่นก็จะนำมาซึ่งเลือดนองแผ่นดิน โดยทั้งสองฝ่ายแทบไม่ได้คิดป้องกันอะไรเอาไว้เลย เพราะทั้งคู่ต่างมีสิทธิเท่าเทียมกันในการตำหนิและกล่าวหาแต่ละฝ่าย ว่าเป็นผู้สร้างเงื่อนไขนั้นๆ ขึ้นมา” นี่...เรียกว่าแนวโน้มที่จะเละเป็นขี้ เละเป็นโจ๊ก ค่อนข้างเป็นอะไรที่ชัดเจนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ...
ด้วยเหตุนี้...การ “ฮึดสู้” ของผู้นำอเมริกา อย่าง “ทรัมป์บ้า” นั้น ต้องเรียกว่าเป็นอะไรที่น่ากลัว น่าสยดสยอง และคงต้องคอยจับตาแบบมิอาจกะพริบตา เพราะโดยแนวโน้มดูๆ จะหนักไปทางอย่างที่อดีตนายกเทศมนตรีนครชิคาโก “นายราห์ม เอมานูเอล”(Rahm Emanuel) แกเคยว่าๆ เอาไว้นั่นแหละว่า คือ “Hunger Games”หรือเกมแห่งการ “สร้างกับดักและหลุมพราง เพื่อให้บรรดาชาวอเมริกันหันมาสู้กับชาวอเมริกันด้วยกันเอง” ไม่ต่างไปจากบ้านเราช่วงก่อนหน้านี้ไม่นาน ที่บรรดาชาวไทยเสื้อแดงกับบรรดาชาวไทยเสื้อเหลือง หวิดๆ จะหันมารับประทานซึ่งกันและกัน แถมยังมีการเตรียมปืนผาหน้าไม้ ลอบเผาโน่น เผานี่ ตามแบบฉบับ “ขอนแก่นโมเดล” อะไรประมาณนั้น เพียงแต่เผอิญ “หัวหาย” หรือดันไม่มีผู้นำ ผู้มีอำนาจ คอยหนุนหลังอย่างเป็นตัว เป็นตน เพราะถูกเผด็จการรัฐประหาร หรือเพราะต้องเผ่นออกไปตามช่องทางธรรมชาติ จนแทบไม่เหลือใครเป็นหลัก ประชาธิปไตยแบบไทยๆ มันก็เลยยังพอไปได้ หรือพออยู่ๆ กันไปได้ ต่างไปจาก “ประชาธิปไตยต้นฉบับ”หรือ “ประชาธิปไตยของแท้และดั้งเดิม”อย่างคุณพ่ออเมริกา ที่มีสิทธิถึงขั้นฉิบหายวายป่วง วายตลิ่งเอาง่ายๆ เมื่อต้องเจอกับ “ลูกบ้าเที่ยวล่าสุด”ของผู้นำอย่าง “ทรัมป์บ้า” ที่พร้อมจะบ้า...ก็...บ้าวะ ได้ทุกเมื่อ...