ช่วงระหว่างรอๆ “ม็อบบิ๊กๆ เบิ้มๆ” ของพวกเด็กๆ เขา...ลองแวะกลับไปแถวๆ ช่องแคบไต้หวันดูสักหน่อย น่าจะเหมาะกว่า เพราะนอกจากเมื่อช่วงวันเสาร์ 10 ตุลาคมที่ผ่านมา จะถือเป็น “วันชาติ” ของดินแดนไต้หวัน บ้านพี่ เมืองน้อง หรืออาจถือเป็นดินแดนเดียวกันกับจีนแผ่นดินใหญ่ แต่มาหลังๆ นี้...คุณพี่จีนท่านออกจะ “ดุ” พอสมควร คือออกอาการขู่แล้ว ขู่เล่า ชนิดผู้นำไต้หวัน อย่าง “นางไช่ อิงเหวิน” (Tsai Ing-Wen) ต้องออกมาโหยหวนครวญคราง ระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์ในช่วงวันชาติที่ผ่านมา ขอร้องและวิงวอนให้คุณพี่จีนหยุด “การกระพือความตึงเครียดทางทหาร” หรือหยุด “ขยายอิทธิพลครอบงำ” ให้เบาๆ ลงไปกว่านี้ได้บ้าง จะเป็นพระคุณยิ่ง!!! อะไรประมาณนั้น...
เพราะหลังๆ นี้...ดูเหมือนคุณพี่จีนท่านแทบไม่ได้สนใจบรรดา “เส้น” ต่างๆ ที่ทางไต้หวันเขาพยายามขีด พยายามลาก พยายามสมมติให้เป็นแนวเขต แนวอาณาบริเวณ ในลักษณะใด-ลักษณะหนึ่งอีกต่อไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นแนวเขตที่จะต้องแสดงตนเพื่อการป้องกันภัยทางอากาศ หรือที่เรียกย่อๆ ว่า “ADIZ” (Air Defense Identification Zone) แนวเขตที่ถือเป็นเส้นกึ่งกลางในการแบ่งแยกพรมแดนระหว่างจีนและไต้หวัน หรือ “Median Line” ที่เว็บไซต์ต่างประเทศ “ผู้จัดการ” ท่านแปลไว้ได้สละสลวยเอามากๆ คือเรียกว่า “เส้นมัธยะ” อะไรประมาณนั้น แต่ปรากฏว่าเครื่องบินขับไล่จู่โจมของคุณพี่จีน...ท่านไม่คิดจะสนเอาดื้อๆ!!! พร้อมที่จะบินฉวัดเฉวียน โผล่เข้า-โผล่ออก ข้ามเขต ข้ามแดน บรรดาเส้นสมมติเหล่านั้น ไม่รู้จะกี่เที่ยวต่อกี่เที่ยว เล่นเอาฝ่ายความมั่นคงของไต้หวัน ออกอาการขนหัวลุก ขนคอตั้ง ชนิดเที่ยวแล้ว เที่ยวเล่า...
ซึ่งเหตุที่คุณพี่จีนท่านแสดงลักษณะอาการเช่นนี้ มันคงต้องมีที่มา-ที่ไปนั่นแหละทั่น ไม่ได้เป็นเพราะนักบินคิดสนุกแบบห่ามๆ เกิดอาการกร่าง อาการน็อตหลุด น็อตหลวม อย่างไม่มีสาเหตุ คืออย่างเป็นที่รู้ๆ กันว่าเป็นเพราะ “คุณพ่ออเมริกัน” ของเราอีกนั่นแหละ ที่พยายามยื่นบัตร “สมาชิกสมาคมเสือก” ไปในพื้นที่แถบนี้ อย่างเป็นระบบและกิจการยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ไม่เพียงส่งเรือรบเรือบรรทุกเครื่องบิน เข้ามาป้วนๆ เปี้ยนๆ ในน่านน้ำแถบนี้ ยังพยายามส่งอาวุธ ขายอาวุธล็อตโตๆ และออกจะร้ายกาจ ร้ายแรง ให้กับไต้หวันไปเป็นระยะๆ แถมยังส่งเจ้าหน้าที่ระดับสูง ระดับรัฐมนตรีแต่ละกระทรวง มาเยือนดินแดนแห่งนี้อย่างเป็นทางการจนเกิดการกู่ก้องร้องตะโกน ไม่ว่าในสภาสหรัฐฯ หรือสภาไต้หวัน ถึงแนวคิด แนวทาง ที่อยากจะออกกฎหมายฟื้นฟูสถานภาพและสัมพันธภาพระหว่างสหรัฐฯ และไต้หวัน ให้เป็นเรื่อง-เป็นราว ไม่ต่างไปจากรัฐเอกราช หรือประเทศที่มีอำนาจอธิปไตยเป็นของตนเอง ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคุณพี่จีนเอาเลยแม้แต่นิด...ฯลฯ ฯลฯ...
อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่เอง...ที่ทำให้คุณพี่จีนท่านอดที่จะ “ของขึ้น” ขึ้นมาไม่ได้ และอาการของขึ้นของคุณพี่จีนคราวนี้ คงต้องยอมรับนั่นแหละว่า ออกจะดุเดือดเลือดพล่าน หนักหน่วงและรุนแรงมิใช่น้อย จะโดยเหตุเพราะจีนช่วงนี้ กับเมื่อช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ต่างกันแบบแทบคนละเรื่อง-ละม้วน เฉพาะแค่ “บ้องข้าวหลามยักษ์” ไม่ว่าระดับไฮเปอร์โซนิก หรือไม่โซนิก ที่ติดตั้งเอาไว้ตลอดทั่วทั้งอ่าว ไม่เพียงแต่สามารถถล่มไต้หวันให้ราพณาสูร ภายในช่วงเวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมง แม้แต่บรรดาเรือรบเรือบรรทุกเครื่องบิน ตลอดไปจนฐานบัญชาการทางทหารของคุณพ่ออเมริกาในย่านนี้ เผลอๆ...ยังไม่ทันขยับตัวก็อาจพังพินาศเป็นจุณ ภายในเวลาอันรวดเร็ว ชนิดแทบไม่เหลือโอกาสจะช่วยเหลือเฟือยฟายให้กับเกาะไต้หวัน ที่อยู่ห่างจักรวรรดิตัวเองออกไปไม่รู้กี่โยชน์ต่อกี่โยชน์ อีกทั้งด้วยความเสื่อม ความโทรมของจักรวรรดิอเมริกา ที่ระดับผู้นำประเทศ ระดับประธานาธิบดี ยังดันต้องติดเชื้อ “ไวรัสเมืองจีน” ชนิดแทบหงายท้องหลับกลางอากาศซะดื้อๆ ฯลฯ หรืออะไรต่อมิอะไรทำนองนี้ หรือไม่ประการใด ก็แล้วแต่ การออกอาการฉุนเต่าของคุณพี่จีนต่อไต้หวันคราวนี้ ต้องเรียกว่า...น่าขนลุก ขนพอง มิใช่น้อย!!!
ถึงขนาดบรรณาธิการเว็บไซต์สื่อทางการของจีน อย่าง “Global Times” “นายHu Xijin” ยังอดไม่ได้ต้องออกมาแสดงความคิด ความเห็น หรือถ้าพูดง่ายๆ ก็คือออกมา “ขู่” ไต้หวันนั่นแหละ เอาไว้เมื่อช่วงวันเสาร์ (10 ต.ค.) ที่แล้ว ในข้อเขียน บทความ ที่ให้ชื่อเอาไว้ว่า “The more trouble Taiwan creates, the sooner the mainland will teach a lesson” หรือยิ่งไต้หวันยิ่งสร้างความยุ่งยากให้กับจีนยิ่งขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งเร็วขึ้นที่แผ่นดินใหญ่จะสั่งสอน “บทเรียน” ให้ไต้หวันยิ่งขึ้นไปเท่านั้น อะไรประมาณนั้น และความหมายของคำว่า “บทเรียน” ที่ว่า ยังถูกอธิบายเอาไว้ด้วยว่า... “แผ่นดินใหญ่เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเตรียมพร้อมโดยสมบูรณ์แบบ สำหรับการทำสงคราม ถ้าหากยังคงหลงเหลือแนวความคิดที่จะแบ่งแยกดินแดนไต้หวันออกจากจีนอยู่จริงๆ...” นี่ ต้องเรียกว่า ไม่ว่าพรรครัฐบาล หรือกระทั่งพรรคฝ่ายค้านไต้หวัน อย่างพรรคก๊กมินตั๋ง (Kuomintang) ย่อมมีสิทธิขนหัวลุกไปด้วยกันทั้งสิ้น...
แต่ก็นั่นแหละ...ความ “ดุ” หรือความดุเดือดเลือดพล่าน ของคุณพี่จีนคราวนี้ อาจถือเป็นส่วนหนึ่งและส่วนสำคัญที่ทำให้ประเทศที่เพิ่งเคยฉิบหายวายตลิ่งกับพิษภัยแห่งสงคราม ชนิดแทบไม่คิดจะรบราฆ่าฟันกับใครต่อใครอีกต่อไปแล้ว นั่นคือประเทศคุณพี่ยุ่น หรือประเทศญี่ปุ่น ที่เคยถูกระเบิดนิวเคลียร์ของคุณพ่ออเมริกา ถล่มจนแทบราพณาสูรไปเมื่อไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา จนแทบไม่ได้เหลือกองกำลัง หรือกองทัพใดๆ ติดปลายนวมไว้ในประเทศเอาเลยแม้แต่นิด ก่อนจะค่อยขยับเนื้อ ขยับตัว ก่อกำเนิด “กองกำลังความปลอดภัยแห่งชาติ” (National Safety Force) ขึ้นมาในช่วงหลังๆ หรือช่วงที่ประเทศได้รับการฟื้นฟูในทางเศรษฐกิจขึ้นมาบ้างแล้ว จนค่อยๆ พัฒนากลายมาเป็น “กองกำลังป้องกันตนเอง” หรือกองกำลัง “SDF” (Self-Defense Force) นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1954 เป็นต้นมา จนกระทั่งเมื่อมาถึงทุกวันนี้ คงปฏิเสธไม่ได้ว่า...แม้กองกำลังดังกล่าวจะใช้ชื่อเรียกขานแบบไม่ถึงกับน่าเกลียด น่ากลัว เหมือน “กองทัพญี่ปุ่น” เมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่ 2 สักเท่าไหร่ แต่โดยประสิทธิภาพ สมรรถภาพ หรือแสนยานุภาพ ของกองกำลังที่ว่านี้ ก็น่าจะจัดอยู่ในประเภท “ประมาทมิได้” เป็นอันขาด!!!
เพราะแม้จะมีการ “จำกัด” งบประมาณในการอุดหนุนกองกำลังดังกล่าว เอาไว้แค่ไม่เกิน 1 เปอร์เซ็นต์ของ GDP แต่ด้วยเหตุเพราะ GDP ประเทศคุณพี่ยุ่นเขา ออกจะโตเอามากๆ โตซะยิ่งกว่า “โตโยต้า” ไม่รู้จะกี่เท่าต่อกี่เท่า ทำให้ถ้าว่ากันโดยตัวเลขสถิติเช่น ช่วงปี ค.ศ. 2002 เป็นต้นมา ขณะที่ประเทศซึ่งมีงบประมาณทางทหารอันดับ 1 ของโลก อย่างคุณพ่ออเมริกา ใช้จ่ายงบฯ ด้านนี้ไปประมาณ 331,951 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 3.2 เปอร์เซ็นต์ของ GDP ประเทศที่ใช้จ่ายงบประมาณด้านนี้เป็นอันดับ 2 อย่างอังกฤษ ใช้ไป 41,521 ล้านดอลลาร์ หรือ 2.6 เปอร์เซ็นต์ของ GDP แต่ประเทศญี่ปุ่นที่ถูกห้ามไม่ให้ใช้จ่ายงบประมาณด้านนี้เกินไปกว่า 1 เปอร์เซ็นต์ของ GDP แต่กลับใช้ไปได้ถึง 33,832 ล้านดอลลาร์ กลายมาเป็นประเทศที่ใช้งบฯ ทางทหารสูงเป็นอันดับ 3 ของโลก เอาเลยถึงขั้นนั้น...
การด่าว่า ด่าทอไต้หวันแบบหนักหน่วงรุนแรงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ของคุณพี่จีน...จึงอาจกลายเป็นส่วนหนึ่งและส่วนสำคัญ ที่ทำให้กระทรวงกลาโหม หรือกองกำลังป้องกันประเทศของคุณพี่ยุ่น ได้ออกมาประกาศ “ซ้อมรบต่อต้านเรือดำน้ำ” ในเขตทะเลจีนใต้ไปเมื่อช่วงวันที่ 9 ตุลาคมที่ผ่านมานี่เอง โดยระดมเรือรบ 3 ลำ เฮลิคอปเตอร์ เครื่องบินขนส่งลำเลียง และเรือดำน้ำ ฯลฯ เข้าร่วมปฏิบัติการในน่านน้ำที่ตัวเองแทบไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง หรือมีส่วนขัดแย้งด้านดินแดนใดๆ กับจีน แถมกองกำลังดังกล่าวยังแวะไปเติมเสบียงที่ฐานทัพอ่าวคัมรานห์ (Cam Ranh) ของประเทศเวียดนาม ที่เป็นคู่กัดโดยตรงกับคุณพี่จีนในกรณีพิพาทดินแดนในทะเลจีนใต้ซะอีกล่วย!!!
พูดง่ายๆ ว่า...ความใกล้ชิด-ติดพันระหว่างญี่ปุ่นกับไต้หวัน ในฐานะดินแดนที่เคยถูกกองทัพอาทิตย์อุทัยยึดครองมาร่วมกว่าครึ่งศตวรรษ หรือตั้งแต่ค.ศ. 1895 ไปจนถึง 1945 โน่นเลย จนทำให้ชาวไต้หวันที่พูดภาษาญี่ปุ่น เขียนญี่ปุ่น มีอยู่ด้วยกันเยอะแยะมากมาย แม้กระทั่งอดีตประธานาธิบดี “ลี เต็ง-ฮุย” (Lee Teng-hui) ที่จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเกียวโต ก็ว่ากันว่า พูดญี่ปุ่นได้เป็นน้ำ ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่แหละ ที่ทำให้โอกาสที่คุณพี่จีนจะดุ ด่า ว่ากล่าวไต้หวันแบบหนักๆ แรงๆ อาจไม่ถึงกับเหมาะสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะเมื่อแนวความคิดที่จะก่อตั้ง “กองกำลังที่คล้ายกับนาโต” (NATO-like alliance) ของคุณพ่ออเมริกา หรือแม้แต่กลุ่มพันธมิตรสี่เหลี่ยมด้านเท่า (Quadrilateral Dialogue) ในย่านอินโด-แปซิฟิก ยังเป็นสิ่งที่พอมีความเป็นไปได้อยู่บ้างไม่มาก-ก็น้อย สู้หันไปใช้น้ำเย็นเข้าลูบ หันไปเจ๊าะๆ แจ๊ะๆ จนกว่าคุณพ่ออเมริกาท่านจะ “ตายห่า” ลงไปแล้วจริงๆ น่าจะเข้าท่ากว่าเป็นไหนๆ...