วันนี้...คงหนีไม่พ้นต้อง “ตามไปดู” ฤทธิ์เดชความบ้าของ “ทรัมป์บ้า” กันอีกนั่นแหละทั่น เพราะอย่างที่ไล่เรียงมาตั้งแต่ต้นสัปดาห์คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้ว่า ช่างเป็นอะไรที่ยั่วยวนกวนส้นตีน อย่างน่าตะลึงพรึงเพริดยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะในแง่การสร้าง “ศัตรูภายใน” ด้วยการหยิบเอาพวก “ม็อบ” มาละเลงและใส่สีตีไข่ ให้กลายเป็นพวกฝ่ายซ้าย พวกคอมมิวนิสต์ พวก “Antifa” หรือพวกอนาธิปไตย ที่ถนัดในการปล้น ฆ่า ลอบวางเพลิง ฯลฯ จนเหลือแต่ผู้นำประเทศอย่างตัวเองเท่านั้น ที่สามารถเป็นปราการด่านสุดท้าย เป็น “แสงสว่าง” ที่จะขับไล่ “ความมืด” ให้กลับคืนมาสู่สังคมอเมริกันให้จงได้...
เรียกว่า...ไม่เพียงแต่เตรียมบุกเยือนถิ่นแอนด์ฟิลด์ หรือ “บุกไปเยือนรัง” พวกม็อบ ในถิ่นเมือง “Kenosha” รัฐวิสคอนซิน ช่วงวันอังคาร (1 ก.ย.) นี้เท่านั้น ยังถึงกับออกมา “ถือหาง” มือปืนผิวขาว ที่สาดกระสุนใส่ม็อบผิวสี เด๊ดสะมอเร่ อิน เดอะ เท่งทึง ไปสองราย ว่าน่าจะเป็นเพราะ “เหตุสุดวิสัย” อะไรประมาณนั้น ซึ่งต้องถือว่าหนักซะยิ่งกว่า “ม็อบไทยภักดี” ที่ออกมาปฏิเสธเรื่องการไล่ทุบ ไล่ตี คนกวาดขยะใส่เสื้อแดง ไม่รู้กี่สิบ กี่ร้อยเท่า คือพูดง่ายๆ ว่า...แสดงออกถึงลักษณะอาการ พร้อมแลกมือ แลกตีน พร้อมใช้เลือดล้างเลือด ใช้ดับไฟ-ดับไฟ แม้แต่ในสังคมชาวอเมริกันเอง อันเป็นอะไรที่ออกจะ “อันตราย” เอามากๆ...
แต่ถ้าเป็นเฉพาะภายในสังคมอเมริกันเอง คงไม่ถึงกับน่าหนักใจสักเท่าไหร่ เพราะอย่างมาก...ก็แค่ “เจ๊งกันไปทั้งประเทศ” หรือ “ฉิบหายไปทั้งบ้านทั้งเมือง” แต่ที่น่าสยดสยองพองขนยิ่งไปกว่านั้น ก็คือความพยายามอาศัย “ศัตรูภายนอก” มาเป็นตัวกระตุ้น ยั่วยุ เพื่อให้ใครต่อใครหวนกลับมาเพรียกหา “ความยิ่งใหญ่” หรือความ “Great Again” ของอเมริกากันอีกจนได้ โดยเฉพาะการหันไปยั่วยวนกวนส้นตีน มหาอำนาจคู่แข่งอย่างคุณพี่จีน ที่หลังๆ นี้...ต้องเรียกว่าน่าหวาดเสียวยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ถึงขั้นที่สื่อทางการจีน อย่าง “Global Times” ต้องออกมาสรุปล่วงหน้าไว้เลยว่า “US intend to force China to fire first shot” หรือ “เจตนา” ของอเมริกา ก็คือความพยายามกดดันให้จีนต้องกลายเป็น “ผู้ลั่นกระสุนนัดแรก” เอาเลยถึงขั้นนั้น!!! คล้ายยุคที่เคย “ยั่วญี่ปุ่น” ให้ต้องเปิดฉากโจมตีฐานทัพอเมริกันที่ “เพิร์ล ฮาร์เบอร์” (Pearl Harbor) เมื่อช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 อะไรประมาณนั้น...
โดยเฉพาะการอาศัยจุดวิบๆ วับๆ หรือจุดที่อ่อนไหว เอามากๆ...ต่ออารมณ์-ความรู้สึกของชาวจีนทั้งหลาย นั่นคือกรณี “ไต้หวัน” นั่นแหละเป็นเนื้อร้อง ทำนอง ในบทเพลงว่าด้วยความปรารถนา-ต้องการ “อยากจะชิมส้นตีนนัก-อยากจะชิมส้นตีนนัก” คือแค่เฉพาะการหยิบเอาเรื่อง “หลักประกัน 6 ข้อ” (six security assurances) ที่เคยทำกันเอาไว้ตั้งแต่สมัยรัฐบาล “เรแกน” ออกมาเน้นย้ำกันอีกครั้ง โดยผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศฝ่ายเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก “นายDavid Stilwell” ช่วงล่าสุด หรือเมื่อช่วงวันจันทร์ (31 ส.ค.) ที่ผ่านมา ก็น่าจะยังไม่ถึงกับทำให้ “เส้นเอ็นบริเวณฝ่าเท้า” คุณพี่จีน เกิดอาการกระตุกมากมายสักเท่าไหร่ เพราะแม้ว่าเนื้อหา รายละเอียด จะแสดงออกถึงการหนุนหลังไต้หวันแบบสุดฤทธิ์ สุดหลอด แต่โดยคำพูดที่ออกไปทางกำๆ กวมๆ ก็ยังพอเอาไป “ตีความ” หรือ “แปลความ” ไปในทางหนึ่ง-ทางใด ก็ย่อมได้...
หรือแม้จะเพิ่งส่งเจ้าหน้าที่ระดับสูงสุด...อย่าง “นายAlex Azar” ไปเยือนกรุงไทเปเมื่อช่วงเดือนสิงหาฯ ที่ผ่านมา ก็เป็นเพียงแค่รัฐมนตรีสาธารณสุข ไม่ได้เกี่ยวกับการบ้าน การเมือง หรือการทหารมากมายสักเท่าไหร่นัก แต่สำหรับความพยายามส่งเรือรบระดับ “เรือพิฆาต” ติดขีปนาวุธเที่ยวแล้ว เที่ยวเล่า แล่นเข้าไปในช่องแคบไต้หวัน อันนี้นี่สิ!!!...ที่ชักเริ่มทำให้เส้นเอ็นหน้าขาคุณพี่จีน เกิดอาการยึกๆ ยักๆ ขึ้นมามั่งแล้ว เพราะไม่ใช่แค่เรือพิฆาต “USS Mustin” ลำเดียวเท่านั้น ที่แล่นฉวัดเฉวียนไป-มาเมื่อช่วงวันที่ 18 สิงหาคม หรือช่วงระหว่างที่กองทัพจีนต้องจัด “ซ้อมรบ” ในน่านน้ำทะเลจีนด้วยกระสุนจริงมาถึง 4 ครั้งซ้อนๆ ด้วยกัน ล่าสุด...หรือเมื่อช่วงวันที่ 30 สิงหาคม เรือพิฆาต “USS Halsey” ยังอุตส่าห์แล่นเข้าไปยั่วยวนกวนส้นตีนคุณพี่จีนกันถึงที่...
แต่ที่น่าหนักหนาสาหัสยิ่งไปกว่านั้น...ก็คือการปรากฏตัวของเครื่องบินลาดตระเวน “EP-3E” ของกองทัพอเมริกัน ในน่านน้ำทะเลจีน หรือเหนือน่านฟ้าไต้หวัน เพราะการปรากฏตัวของเครื่องบินลำนี้ ตามที่ได้รับการตรวจสอบสัญญาณการขึ้น-ลง โดยหน่วยงานสำคัญของทางการจีน คือหน่วยงานที่มีชื่อว่า “South China Sea Strategic Situation Probing Initiative” หรือ “SCSPI” โดยอาศัยสัญญาณที่เรียกว่า “ADS-B” ปรากฏว่าเครื่องบินลาดตระเวนลำนี้ไม่ได้ขึ้นมาจากฐานทัพอากาศ “Kadena” ในโอกินาวาของญี่ปุ่น หรือที่ไหนๆ แต่น่าจะบินขึ้น-บินลงจากบริเวณพื้นที่ด้านใต้ของเกาะไต้หวัน หรือน่าจะแสดงให้เห็นว่าเครื่องบินลาดตระเวนอเมริกันลำนี้ มีฐานทัพ หรือฐานบิน อยู่ในดินแดนไต้หวัน หรือภายในสนามบิน “Taipei Songshan Airport” นั่นเอง...
อันเป็นสิ่งที่ “ละเมิด” ต่อหลักการพื้นฐาน “นโยบายจีนเดียว” ที่รัฐบาลอเมริกันเคยให้คำรับรองมาโดยตลอด นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1979 เป็นต้นมา หรือทำให้ดินแดนไต้หวัน กลายสภาพแทบไม่ต่างอะไรไปจากฐานทัพอเมริกันในเกาะโอกินาวาของญี่ปุ่น หรือกลายฐานปฏิบัติการทางทหารของต่างชาติ ที่อาจคิดแยกรัฐ แยกประเทศขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ย่อมได้ แม้ทางการไต้หวันจะออกมาปฏิเสธถึงการมีอยู่ของฐานทัพอเมริกันในดินแดนตัวเอง แต่จากการตรวจสอบสัญญาณการขึ้น-ลงของเครื่องบินลาดตระเวน “EP-3E” ที่ว่า โดยข้อพิสูจน์และหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ อาจทำให้ “กองทัพประชาชนจีน” ย่อมมิอาจ “เอามือซุกหีบ” อยู่เฉยๆ ได้อีกต่อไป โดยเฉพาะถ้าหาก “ข้อเท็จจริง” มันเป็นไปตามนั้น เพราะเท่ากับเป็นการล่วงละเมิด “หลักการจีนเดียว” แบบชนิดโจ่งแจ้งและโจ๋งครึ่ม เอามากๆ...
และอาจด้วยเหตุนี้นี่เอง...ที่ทำให้คณะบริหารด้านความปลอดภัยทางทะเลแห่งจังหวัดเหลียวหนิง (The Maritime Safety Administration of Liaoning Province) จึงต้องขยับเขยื้อน เคลื่อนไหว ขยับเท้า ขยับตีน ด้วยการออกมาป่าวประกาศเมื่อช่วงวันจันทร์ (31 ส.ค.) ที่ผ่านมานี่เอง ว่านับจากวันอังคารที่ 1 ไปจนถึงวันที่ 22 กันยายน กองทัพประชาชนจีนจำต้องจัดให้มี “ปฏิบัติการทางทหาร” ในทะเลโบไฮ โดยจะเป็นการทดสอบสมรรถนะเรือดำน้ำติดขีปนาวุธข้ามทวีป (SLBM) รวมทั้งศักยภาพจรวดต่อต้านเรือบรรทุกเครื่องบิน อย่าง “DF-26B” และ “DF-21D” โดยจะยิงใส่น่านน้ำแห่งไหน หรือยิงไปใส่หัวกบาลใครต่อใครก็ยังยากส์ส์ส์ที่จะสรุป!!!
แต่ที่แน่ๆ ก็คือ...บรรดาข้อเขียน บทความ ของ “สื่อทางการจีน” ช่วงนี้ ต่างเต็มไปด้วยเรื่องราวของเกาะไต้หวันแบบชนิดซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า โดยเฉพาะ “บทบรรณาธิการ” ของ “Global Times” ชิ้นล่าสุด (31 ส.ค.) ที่ระบุไว้แบบตรงไป-ตรงมาว่า “Tsai authorities deserve a stern warning from Beijing” หรือ...ควรเหลือเกินที่จะส่งคำเตือนอันเข้มงวดไปยังผู้นำไต้หวันให้เป็นเรื่อง เป็นราว กันซะที และ “คำเตือน” ที่ว่านั้นก็คือ “เราต้องขออนุญาตเตือนไปยังไช่ อิง-เหวิน (Tsai Ing-wen) และอเมริกาอีกครั้ง ว่า...อย่าเล่นกับไฟ!!! เพราะแม้ว่าเราไม่ต้องการสงคราม แต่เราก็พร้อมที่จะตอบโต้อย่างจริงจังกับความเคลื่อนไหวใดๆ ที่ต้องการแยกประเทศ...” นี่...ชักเริ่มขนหัวลุกขึ้นมามั่งแล้วมั้ยท่าน!!!