เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงหนีไม่พ้นต้องหันไปจับตา เพ่งสายตาไปถึงการหันมาเล่นบท “ดาวยั่ว” ของมหาอำนาจสูงสุดทางทหารอย่างคุณพ่ออเมริกาในชนิดก้าวต่อก้าว นาทีต่อนาที อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้นั่นแหละทั่น!!! เพราะหลังๆ นี้คงต้องยอมรับว่า ค่อนข้างเป็นอะไรที่ “ยั่วยวนกวนส้นตีน”ได้อย่างถึงกึ๋น ถึงแก่น ถึงริดสีดวงทวารเอามากๆ เล่นเอาไม่ว่าแนวรบด้านตะวันออกกลางแถวๆ ช่องแคบฮอร์มุซของอิหร่าน ไปจนถึงแนวรบในเอเชียแถวๆ ทะเลจีนใต้ หรือแถวๆ ช่องแคบไต้หวัน ชักเป็นอะไรที่ร้อนฉ่า ร้อนแรงหนักยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ชนิดโอกาสเกิด “อุบัติเหตุทางทหาร” เริ่มมีความเป็นไปได้แบบเส้นยาแดงผ่าแปด หรือผ่าสิบหก ยิ่งเข้าไปทุกที...
คือแถวๆ อิหร่านนั้น...ด้วยการอาศัยเหตุผล ข้ออ้าง ในการ “แซงชั่นรอบใหม่” แบบที่เรียกว่า “Snapback” หรือแบบ “วอนทั้งโลกโขกหัวเธอ” ชนิดแทบไม่สนใจว่าจะมีประเทศใดเอาด้วยหรือไม่ก็ตาม แต่ด้วยการส่งเรือบรรทุกเครื่องบิน “USS Nimitz” พร้อมเรือพิฆาตติดขีปนาวุธอีก 2 ลำ รวมทั้งกองเรือรบอีกจำนวนมิใช่น้อย เข้าไปป้วนๆ เปี้ยนๆอยู่แถวๆ ช่องแคบฮอร์มุซ ย่อมทำให้ประเทศ “คู่กัด” อย่างอิหร่าน ต้องขนหัวลุก ขนคอตั้ง อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ โดยเฉพาะถ้าหากเลยเถิด เลยธงไปถึงขั้นคิดจะหน่วงรั้ง ตรวจสอบเรือสินค้าของอิหร่านในแต่ละลำ ว่าขนอาวุธยุทโธปกรณ์มาด้วยหรือไม่ อันไม่ต่างอะไรไปจากการ “ปิดล้อม” ประเทศอิหร่านทั้งประเทศเอาเลยก็ว่าได้ การขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวในทางทหารของกองทัพอิหร่าน หรือ “IRGC” (The Islamic Revolution Guards Corps) จึงเป็นอะไรที่ต้องร้อนเร่า ร้อนแรง ตามไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้...
ไม่ว่าการเปิดฉาก เปิดผ้าม่านกั้ง ให้เห็นถึงโฉมหน้าของฐานทัพเรือแห่งใหม่ ชื่อว่า “Martyr Rahbari” บริเวณด้านตะวันออกของช่องแคบฮอร์มุซ ที่เอาไว้ควบคุมการยิงบ้องข้าวหลามยักษ์ใส่บรรดาผู้คิดร้าย ปองร้าย ต่อประเทศสาธารณรัฐอิสลามแห่งนี้กันโดยเฉพาะ หรือการออกมาป่าวประกาศของ “พลเรือโทAli Fadavi” แห่งกองทัพเรืออิหร่านต่อสื่อมวลชนเยเมน เมื่อช่วงวันพุธ (23 ก.ย.) ที่ผ่านมา ถึงการตรวจสอบ ติดตามความเคลื่อนไหวของกองเรือบรรทุกเครื่องบิน “USS Nimitz”และเรือบริวารอย่างใกล้ชิด โดยไม่เพียงแต่ในแง่ของการ “ป้องกัน” เท่านั้น แต่พร้อมที่จะปฏิบัติการ “โจมตี” ใดๆ ได้ทุกเมื่อ ถ้าหากการแสดงออกถึงท่าทีทางทหารของฝ่ายตรงข้าม มุ่งที่จะ “ปิดล้อม” อิหร่านขึ้นมาจริงๆ...
แต่ที่ออกจะหนักหนสาหัสยิ่งกว่าแนวรบด้านตะวันออกกลาง...ก็น่าจะเป็นแถวๆทะเลจีนใต้ หรือจีนตะวันออก หรือแถวๆ ช่องแคบไต้หวันนั่นแหละทั่น ที่รายการ “ยั่วยวนกวนส้นตีน”ของคุณพ่ออเมริกา คงไม่ใช่แค่นั่งพึมพัม ครวญคราง บทเพลง “อยากจะชิมส้นตีนนัก...อยากจะชิมส้นตีนนัก” อยู่แถวๆ หัวสะพานแบบดาวร้ายหนังไทยต่อพระเอก “มิตร ชัยบัญชา” หรือ “สมบัติ เมทะนี” แต่เพียงเท่านั้น เพราะนับวัน...ชักเป็นอะไรที่เป็นเรื่อง-เป็นราว หรืออาจนำไปสู่การเกิดเรื่อง-เกิดราวได้ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะการนำเสนอแนวคิด หรือแนวทางที่จะหาทางปกป้องคุ้มครองไต้หวัน ไม่ให้ถูกบุกทะลุทะลวงโดยกองทัพปลดแอกประชาชนจีน ไม่ว่าวันใด-วันหนึ่ง อย่างเป็นระบบและเป็นกิจการ จนส่งผลให้บรรดาชาวไต้หวันในทุกวันนี้ ต้องหันมาเถียงกันไป-เถียงกันมาชนิดหน้าดำ-หน้าแดง เช่น ระหว่าง “นายLo Chi-Cheng”แห่งพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า (Democratic Progressive Party) หรือพรรค “DPP” แห่งเกาะไต้หวัน ที่เป็นพรรครัฐบาลอยู่ในทุกวันนี้ กับ “นายLee De Wei” แห่งพรรคฝ่ายค้านก๊กมินตั๋ง ว่าถึงเวลาแล้วหรือยัง??? ที่จะอนุญาตให้ “กำลังทหารอเมริกา” เข้ามาตั้งมั่นอยู่ในเกาะไต้หวัน ตามที่วิทยุเสียงอเมริกาได้นำมาออกอากาศไปเมื่อเร็วๆ นี้...
คือการนำกองกำลังทหารอเมริกัน เข้ามาตั้งมั่น ประจำการ อยู่ในเกาะไต้หวันนั้น...ถือเป็นแนวคิดทาง “ยุทธศาสตร์การทหาร”ของนายทหารนาวิกโยธินอเมริกัน อย่าง “พันเอกWalker D. Mills”ที่ได้นำเสนอเอาไว้อย่างเป็นทางการ ในวารสารทางทหารของอเมริกา (Military Review) ช่วงระหว่างเดือนกันยายนที่ผ่านมา หรือช่วงที่รัฐบาลอเมริกันพยายามเข้าไปยุ่มย่ามในเส้นทางเดินเรือแถบทะเลจีนใต้ และในเกาะไต้หวันอย่างเป็นระบบและเป็นกิจการยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าด้วยการส่งเจ้าหน้าที่ระดับสูงรายแล้ว รายเล่า ไปเยือนเกาะไต้หวัน การขายอาวุธร้ายแรง ไปจนการคิดจะออกกฎหมายเลิกล้ม “นโยบายจีนเดียว”ฯลฯ เป็นต้น ภายใต้การแสดงท่าทีเช่นนี้นี่เอง ที่ทำให้นักการทหาร หรือนักยุทธศาสตร์ทางทหารของอเมริกา อย่าง “นายWalker D. Mills”เห็นว่า ถ้าหากเกิดการปะทะขัดแย้งทางทหาร ระหว่างอเมริกากับจีนขึ้นมาในแถบทะเลจีน โอกาสที่กองทัพอเมริกา ไม่ว่าจะมีเรือรบ เรือบรรทุกเครื่องบินสักกี่ลำต่อกี่ลำ แต่อาจต้อง “เรียบโร้ยย์ย์ย์โรงเรียนจีน” เอาง่ายๆ อันเนื่องมาจากขีดความสามารถของขีปนาวุธรุ่นใหม่ๆ ของกองทัพปลดแอกประชาชนจีน โดยเฉพาะถ้าเป็นการปะทะในอาณาเขตพื้นที่ที่อยู่ห่างไกลไปจากฐานอำนาจของกองทัพสหรัฐฯ ชนิดกองกำลังใดๆ ก็มิอาจช่วยเหลือได้ทันท่วงที หรือถ้าเกิด “สงครามสายฟ้าแลบ” ขึ้นมาในพื้นที่บริเวณนี้...
ด้วยเหตุนี้นี่เอง...จึงทำให้นักการทหารอย่าง “พันเอกWalker D. Mills” อดไม่ได้ที่จะแสดงความคิด ความเห็น เอาไว้ในข้อเขียน บทความ เรื่อง “Deterring the Dragon: Returning US Force to Taiwan” หรือวิธีการหน่วงรั้งพญามังกร ด้วยการกลับไปจัดตั้งกองกำลังสหรัฐฯ ไว้ในเกาะไต้หวัน หรือหาทางจัดวาง “กองกำลังภาคพื้นดิน” ของสหรัฐฯ เอาไว้ในพื้นที่เกาะแห่งนี้ ไม่น้อยไปกว่าอัตราส่วน 2 ต่อ 4 ของกองทัพไต้หวัน จึงเป็นสิ่งมีความจำเป็นเอามากๆ โดยมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ เพราะแม้รัฐบาลสหรัฐฯ พยายามส่งเสริมความร่วมมือทางทหารกับไต้หวัน ขายอาวุธรุ่นใหม่ๆ ให้ไต้หวัน ไปจนถึงการส่งที่ปรึกษาทางทหาร ฯลฯ ในแบบไหนๆ ก็ตามที แต่คงมิอาจหยุดยั้งการโจมตีทางทหารของกองทัพจีนได้เลย มีแต่ต้องย้อนกลับไปสู่การสร้าง “หลักประกัน” ให้กับอาณาบริเวณพื้นที่เกาะไต้หวัน ด้วยการนำเอากองทหารอเมริกันกลับไปประจำการบนเกาะแห่งนี้ ดังที่เคยเป็นมาในช่วงก่อนปี ค.ศ.1979 ก่อนที่รัฐบาลอเมริกันจะหันมาทำข้อตกลงที่เรียกว่า “Three Joint Communiques” กับจีนแผ่นดินใหญ่ หรือก่อนการยอมรับ “นโยบายจีนเดียว”อย่างเป็นทางการนั่นเอง...
แม้ว่าสิ่งเหล่านี้...จะเป็นเพียงแค่ความคิด ความเห็นของนายทหารบางราย ไม่ถึงกับต้องถือเป็นนโยบายของกระทรวงกลาโหมอเมริกันแบบจะจะ จังๆ แต่โดยกิริยาท่าทีของรัฐบาลอเมริกันยุค “ทรัมป์บ้า”ที่นับวันยิ่งออกไปในแนว “บ้า...ก็...บ้าวะ” ยิ่งเข้าไปทุกที ย่อมส่งผลให้ทางการจีนอดที่จะขนหัวลุก ขนคอตั้ง อย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้ ยิ่งเมื่อครั้งที่เครื่องบินลาดตระเวน “EP-3E” ของสหรัฐฯ ปรากฏตัวขึ้นมาในน่านฟ้าไต้หวัน ช่วงการซ้อมรบของกองทัพปลดแอกประชาชนจีนเมื่อไม่นานมานี้ อันเป็นปรากฏการณ์ที่ทำให้หน่วยงานตรวจสอบด้านภาคพื้นและอากาศของจีน อย่าง “SCSPI”(South China Sea Strategic Situation Probing Initiative) ถึงกับต้องสรุปว่า...มีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ ที่เครื่องบินดังกล่าวจะอาศัยสนามบิน “Taipei Songshan Airport”เป็นที่บินขึ้น-บินลง หรือเป็นไปได้ที่มีการจัดตั้ง “ฐานทัพอเมริกัน” ขึ้นมาแล้วในเกาะไต้หวัน ดังนั้นโอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์แบบที่ “Liu Xuanzun” คอลัมนิสต์ “Global Times” ได้นำเสนอเอาไว้เมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ในข้อเขียน บทความ ที่ให้ชื่อไว้ว่า “Returning US Force to Taiwan will Trigger Reunification-By-Force Operation”หรือการหวนกลับไปสร้างกองกำลังสหรัฐฯ ในไต้หวัน อาจกลายเป็นตัวจุดชนวนให้ต้องเกิดการ “รวมชาติโดยกำลังทางทหาร”ไม่ว่าจะด้วยการ “ล็อกดาวน์”เกาะไต้หวันเอาไว้ทั้งเกาะโดยกำลังทางเรือและอากาศ เพื่อตัดการติดต่อกับโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง หรือไปๆ-มาๆ อาจหนีไม่พ้นต้องนำไปสู่การ “ลั่นกระสุนนัดแรกหรือนัดที่สอง” ตามมา ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เอาเลย!!!