xs
xsm
sm
md
lg

เมื่อมหาอำนาจสูงสุดต้องหันมาเล่นบท “ดาวยั่ว”

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท


Trita Parsi อดีตประธานสภาแห่งชาติอเมริกัน-อิหร่าน
เรื่องการกระทบกระทั่งในเข่งไก่ เล้าไก่ ของบ้านเราช่วงนี้...ก็น่าจะซาๆ ลงไปมั่งแล้ว ส่วนเรื่องนอกเล้า นอกเข่ง หรือนอกบ้านอย่างเช่นเรื่องคุณพี่จีนกับไต้หวัน ก็ได้ว่าไปแล้วถึง 2 ตอนติดๆ กัน ตั้งแต่ช่วงเปิดฉากสัปดาห์ที่ผ่านมา ด้วยเหตุนี้...วันนี้ น่าลองแวะๆไปแถวๆ ช่องแคบฮอร์มุซ แถวๆ น่านน้ำของประเทศอิหร่านเขาดูมั่ง เพราะเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา คุณพ่ออเมริกาท่านพยายามออกมาตีปี๊บ ออกมาแสดงอาการโฉ่งๆ ฉ่างๆ ชนิดเล่นเอาพวก “หูแหก-ตาแหก” ทั้งหลาย อาจคิดเอง-เออเองไปถึงขั้นว่าอาจเกิดการปะทะ เกิดการ “จุดชนวนสงคราม” หรือ “จุดไฟนรกสุดขอบฟ้า” ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ย่อมได้???

โดยเฉพาะนักคิด นักเขียน นักวิชาการ ประเภท “หุ่นไล่กา” ของคุณพ่ออเมริกา อย่าง “นายTrita Parsi” อดีตประธานสภาแห่งชาติอเมริกัน-อิหร่าน (National Iranian-American Council) อันมีสำนักงานที่ตั้งอยู่ที่กรุงวอชิงตัน หรือหลังสุดเห็นว่าสถาปนาตัวเองขึ้นเป็นผู้อำนวยการสถาบัน “Quincy Institute for Responsible Statecraft” อะไรต่อมิอะไรไปโน่นเลย ถึงกับออกมาคาดการณ์พยากรณ์ ว่าการประกาศ “แซงชั่นอิหร่านครั้งใหม่” ของรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ “นายไมค์ ปอมเปโอ” เมื่อไม่กี่วันมานี้ โดยอาศัยกลไกข้อตกลงที่เรียกๆ กันว่า “Snapback” อะไรทำนองนั้น อาจนำไปสู่ “การปะทะโดยตรงครั้งแรก” ระหว่างอเมริกากับอิหร่าน ภายในช่วงระยะอีกไม่ใกล้-ไม่ไกล หรือถึงกับสรุปว่า อาจเกิดขึ้นประมาณช่วงๆ วันจันทร์ (21 ก.ย.) นับจากนี้ต้นไป!!!

นี่...ต้องเรียกว่า ฟังแล้วอาจต้องขนหัวลุก ขนคอตั้ง อยู่พอสมควร โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ “ฟังไม่ได้ศัพท์แล้วจับเอาไปกระเดียด” ทั้งหลาย เพราะนอกจากคำคาดการณ์ คำพยากรณ์ที่ว่า ของหุ่นไล่กาอเมริกันอย่าง “นายTrita Parsi” แล้ว กองทัพเรือสหรัฐฯ ยังได้รับคำสั่ง ให้เคลื่อนย้ายเรือบรรทุกเครื่องบิน เรือพิฆาต ออกไปฉวัดเฉวียน แล่นไป-แล่นมาแถวๆ ช่องแคบฮอร์มุซของอิหร่านอย่างเป็นระบบและเป็นกิจการ ไม่ว่าเรือบรรทุกเครื่องบิน “USS Nimitz” เรือลาดตระเวน “USS Princeton” และ “USS Philippine Sea” เรือพิฆาตติดขีปนาวุธ “USS Sterett” ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้เป็นต้น ประมาณว่า...อาจนำไปสู่การบุกยึดเรืออิหร่าน หรือถึงขั้น “ปิดช่องแคบฮอร์มุซ” สำหรับเรือขนส่งอิหร่านเอาง่ายๆ...

ซึ่งถ้าดูจากลักษณะอาการโดยผ่านๆ...ก็อาจขนลุก ขนตั้งได้พอสมควร แต่เมื่อเพียงแค่เจอกับ “คำถาม” ถึงการออกมาประกาศ “แซงชั่นรอบใหม่” ต่ออิหร่าน โดยอาศัยกลไกที่เรียกว่า “Snapback” นั้น อันนี้...ไม่ว่าใครก็ใคร แม้แต่มหาอำนาจสูงสุดทางทหารอย่างคุณพ่ออเมริกาก็ตาม หนีไม่พ้นต้อง “อมสากกะเบือ” เอาไว้ประมาณ 3 ด้าม 4 ด้าม หรือเผลอๆ...อาจต้อง “อมครก” ทั้งครกอย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้เลย คือด้วยเหตุที่กลไกการแซงชั่นที่เรียกๆ กันว่า “Snapback” นั้น เขามีเอาไว้สำหรับบรรดาประเทศที่เข้าร่วมเซ็นสัญญาข้อตกลงระหว่างรัฐบาลอิหร่านกับบรรดารัฐบาลมหาอำนาจทั้งหลาย ที่ร่วมบรรลุข้อตกลงการยุติโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน เมื่อช่วงประมาณ 5 ปีที่แล้ว หรือช่วงปี ค.ศ. 2015 ที่เรียกขานกันในนาม “ข้อตกลง JCPOA” (Joint Comprehensive Plan of Action) อะไรประมาณนั้น อันประกอบไปด้วยคุณพ่ออเมริกา รัสเซีย จีน อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี โดยมีสหประชาชาติให้การรับรอง ว่าถ้าหากประเทศอย่างอิหร่านเกิด “เบี้ยว” สัญญา หรือข้อตกลงขึ้นมาเมื่อไหร่ แต่ละประเทศก็สามารถยื่นเรื่อง ยื่นราว ให้รื้อฟื้นการแซงชั่นต่ออิหร่านขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ย่อมได้ ตามกฎบัตรมาตราที่ 2231ของ “UNSCR” ทำนองนั้น...

แต่ในเมื่อคุณพ่ออเมริกาท่านได้ถีบหัวเรือทิ้ง หรือได้ถอนตัวออกจาก “ข้อตกลง” ที่ว่า ไปตั้งแต่เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับข้อตกลง “JCPOA” ที่บรรดามหาอำนาจแต่ละประเทศยังคงให้การรับรอง การที่คิดจะย้อนกลับไปสวมหมวกทรง “Snapback” ไม่ว่าบิดหมวกเอาไว้ข้างหน้า หรือข้างหลัง ก็แล้วแต่ มันเลยไม่ต่างอะไรไปจากการ “บิดตะกูด” ตั้งแต่ต้น หรือไม่ได้มีเงื่อนไขทางกฎหมาย กฎบัตรใดๆ รองรับเอาไว้เลย อันส่งผลให้ไม่ว่าจะเป็นประเทศรัสเซีย จีน อังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมนี ต่างต้องออกมาปฏิเสธ ออกมานั่งยัน นอนยัน ว่าการ “แซงชั่นรอบใหม่” ของอเมริกาต่ออิหร่านคราวนี้ ไม่ได้มีผลทางกฎหมายใดๆ รองรับไว้เลยแม้แต่น้อย หรือกระทั่งเลขาธิการสหประชาชาติ อย่าง “นายอันโตนิโอ กูเตอร์เรส” (Antonio Guterres) ยังอดไม่ได้ที่จะต้องออกมาบอกว่า สหประชาชาติคงไม่คิดจะเอาตัวเองไปยุ่งเกี่ยวกับการประกาศแซงชั่นของอเมริกาคราวนี้โดยเด็ดขาด ด้วยเหตุเพราะ “โลกทั้งโลกย่อมรับรู้ รับทราบ ดีอยู่แล้วว่า...ใครทำตามกฎ-ใครแหกกฎ”...

หรือพูดง่ายๆ ว่า...ถ้าหากคุณพ่ออเมริกาคิดยึดเรือ จมเรืออิหร่านขึ้นมาเมื่อไหร่ โอกาสเกิดรายการ “วอนทั้งโลก...โขกหัวเธอ” ย่อมต้องเป็นไปได้อยู่แล้วแน่ๆ หรืออย่างที่ที่ปรึกษาสูงสุดฝ่ายกิจการต่างประเทศอิหร่าน “นายAli Akbar Velayati” ได้ให้สัมภาษณ์สื่อทางการอิหร่านไปเมื่อช่วงวันอาทิตย์ (20 ก.ย.) ที่ผ่านมานั่นแหละว่า... “อเมริกาไม่สามารถทำให้ใครก็ตามในโลกนี้เอาด้วย ดังนั้น ถ้าหากยังคิดจะจุดชนวนสงครามกับอิหร่านอีกต่อไป ก็คงแทบไม่มีใครคิดเดินตามโดยเด็ดขาด” อาจมีเพียงประเทศเล็กๆ อย่าง “โดมินิกัน” เท่านั้น ที่ยอมตัดสินใจ “กระดิกหาง” ตามคำประกาศ ข้อเรียกร้องของรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ แบบชนิดไม่รู้เรื่อง รู้ราว ไปตามสภาพ...

อย่างไรก็ตาม...การที่ประเทศมหาอำนาจสูงสุดในโลกอย่างคุณพ่ออเมริกา จำต้องตัดสินใจออกมาแสดงความห้าว ความห่าม ออกมาประกาศ “แซงชั่นอิหร่านขั้นสูงสุด” รอบใหม่ หลังจากที่แซงแล้ว แซงอีก สุดแล้วและสุดอีกมาโดยตลอด ได้ทำให้นักคิด นักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นศาสตราจารย์ชาวอังกฤษ อย่าง “John Dunn” แห่ง “Emeritus of Political Theory” จากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ หรือ “Seyed Mohammad Marandi” แห่งมหาวิทยาลัยเตหะราน สะท้อนความคิด ความเห็น เอาไว้น่าสนใจมิใช่น้อย คือต่างสรุปว่า...เป็นเพราะ “ความล้มเหลว” ของนโยบายแซงชั่นขั้นสูงสุดของอเมริกาต่อประเทศคู่กัดอย่างอิหร่านอย่างเห็นได้โดยชัดเจนนั่นเอง เลยทำให้คุณพ่ออเมริกาหนีไม่พ้นต้องแก้เกี้ยว ต้องพยายามแสดงออกถึงความห้าว ความห่าม แสดงอาการว่าพร้อมจุดชนวนสงคราม ขึ้นมาในทะเลอาหรับได้ทุกเมื่อ หรือเกิดการสร้างข่าว เมคข่าว ว่าอิหร่านกำลังคิดจะ “แก้แค้น-เอาคืน” การลอบสังหารนายพลอิหร่าน ด้วยการลอบสังหารทูตอเมริกาในแอฟริกาใต้ เพื่อจะให้มีผลต่อคะแนนนิยมในการเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกัน หรือเพื่อเหตุผล กลใด ก็แล้วแต่...

และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น...หรือยิ่งกว่าการหันไป “ค้า-ขายกันเอง” ระหว่างประเทศที่ถูกแซงชั่นด้วยกันทั้งคู่ อย่างอิหร่านและเวเนซุเอลา ที่ทำให้นโยบายแซงชั่นขั้นสูงสุดของอเมริกา ไม่ได้ศักดิ์สิทธิ์และเข้มขลังเหมือนเดิม ก็น่าจะเป็นสิ่งที่นักข่าวแห่งสำนักข่าว “Sputnik” ของรัสเซีย สรุปเอาไว้เมื่อเร็วๆ นี้นั่นแหละว่า... “How Iran-China Strategic Partnership May Hammer Final Nail in Coffin of US’s Maximum Pressure Policy” หรือการหันมาร่วมมือทำข้อตกลงทางยุทธศาสตร์ความยาว 18 หน้ากระดาษ ไม่ว่าในทางการเมือง เศรษฐกิจ และโดยเฉพาะการทหาร อย่างเป็นทางการระหว่างคุณพี่จีนกับอิหร่านไปจนถึงปี ค.ศ. 2045 โน่นเลย อันนี้นี่แหละ...ไม่ต่างไปจาก “การตอกตะปูฝาโลงตัวสุดท้าย” ให้กับนโยบายแซงชั่นของอเมริกา จนต้องหาทาง “ยั่วยวนกวนส้นตีน” ประเทศคู่แข่ง หรือคู่กัดกันในทุกๆ เรื่องทุกๆ กรณี ต้องหันมาครวญครางบทเพลง “อยากจะชิมส้นตีนนัก...อยากจะชิมส้นตีนนัก” อยู่บนหัวสะพานทะเลอาหรับ หรือช่องแคบไต้หวัน แบบหนักหน่วง รุนแรง และเอาจริงเอาจังยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ปัญหาจึงขึ้นอยู่กับว่า...ทั้งอิหร่านและจีน รวมทั้งบรรดาพันธมิตรในการ “เปลี่ยนระเบียบโลก” ทั้งหลาย จะอดทน อดกลั้น เอาไว้ได้มากเท่าไหร่ และนานเท่าไหร่...นั่นแล...




กำลังโหลดความคิดเห็น