xs
xsm
sm
md
lg

ว่าด้วยการ “ล้างแค้น” ของอิหร่าน

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท


ประธานาธิบดีฮัสซัน โรฮานี แห่งอิหร่าน
ไม่ว่าจะเพื่อเพิ่มคะแนนนิยม เพิ่มโอกาสในการชนะเลือกตั้งอเมริกาที่กำลังใกล้จะมาถึง หรือจะเพื่อเหตุผล กลใด ก็แล้วแต่ แต่งานนี้...คงต้องเรียกว่า “โม้ล้วนๆ” ระดับ “แมงโม้” บินว่อนนับหมื่นๆ แสนๆ ล้านตัวเอาเลยก็ว่าได้ สำหรับการขู่คำรามของผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” ที่ออกมาบอกเมื่อช่วงวัน-สองวันที่ผ่านมา ว่าพร้อมจะตอบโต้ เล่นงานประเทศคู่กัดอย่างอิหร่าน ให้หนักกว่าเป็น 1,000 เท่า ถ้าคิดแก้แค้น เอาคืน การลอบสังหารอดีตผู้นำทางทหารอิหร่าน ที่ถูกคุณพ่ออเมริกาดักเล่นงานจนตายคาที่ไปเมื่อเร็วๆ นี้...

คือ “ข่าวคราว” ว่าด้วยการคิด “ล้างแค้น” ให้กับนายพล “กอเซ็ม สุไลมานี” (Qasem Soleimani) วีรบุรุษของชาวอิหร่านเขา อันที่จริง...ต้องถือเป็นข่าวประเภท “ลุงพล” บ้านเรา อะไรประมาณนั้น เรียกว่า...หนักไปทาง “คิดเอง-เออเอง” โดยบรรดาสื่อกระแสหลักของฝ่ายตะวันตกแบบทั้งดุ้น ทั้งด้าม ประมาณว่ารัฐบาลอิหร่านกำลังเตรียมแผนลึกลับ-ซับซ้อน เพื่อคิดลอบสังหารตัวแทนทางการทูตประมาณ 3 รายของอเมริกา ที่ประจำการอยู่แถวๆ ประเทศแอฟริกาใต้โน่นเลย อันเป็นข่าวที่ทางการอิหร่าน เขาได้ออกมา “ปฏิเสธ” แบบเน้นๆ-เนื้อๆ ไปก่อนหน้าที่ “ทรัมป์บ้า” จะออกมาแถลงแสดงออกถึงความเป็นคาวบอยอเมริกัน ประเภท “พระเอกคนเดียวสู้กับผู้ร้ายตั้งพัน” หรือกะจะตอบโต้ให้หนักเป็นพันๆ เท่า อะไรทำนองนั้น...

โดยโฆษกกระทรวงการต่างประเทศอิหร่าน “นายSaeed Khatibzadeh” ได้ออกมาป่าวประกาศไปตั้งแต่เมื่อวันจันทร์ (14 ก.ย.) ที่ผ่านมาแล้วว่า ไม่เพียงแต่เป็น “ข่าว” ที่ปราศจากฐานข้อมูลใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย ยังมีลักษณะอาการไม่ต่างไปจากปฏิบัติการด้าน “การต่อต้านข่าวกรอง” ของรัฐบาลอเมริกันยุค “ทรัมป์บ้า” นั่นแหละ ที่มุ่งร้ายป้ายสีกล่าวหาประเทศอิหร่านมาโดยตลอด และพยายามทำให้การกล่าวหา หรือการ “โกหก” นั้นๆ มีผลต่อการเพิ่มคะแนนเสียง คะแนนนิยมในการเลือกตั้งประธานาธิบดีมากบ้าง-น้อยบ้าง ไปตามสภาพ เพราะสิ่งที่รัฐบาลอิหร่านพยายามพิสูจน์ให้โลกเห็น จนตราบเท่าทุกวันนี้ คือการแสดงออกถึง “ความรับผิดชอบ” ในการยึดมั่นต่อกฎ ระเบียบ กฎหมายระหว่างประเทศ ไม่ได้คิดแหกกฎ แหกกรอบ แบบคุณพ่ออเมริกาแม้แต่น้อย แม้แค้น-แสนแค้น ที่ผู้นำทางทหารถูกลอบยิง ลอบฆ่า ถูกล่วงละเมิดกฎหมาย ระเบียบ และประเพณีทางการทูต แบบต่อหน้าต่อตา แต่อิหร่านก็พร้อมหันไปฟ้องร้องดำเนินคดีตามกฎหมายระหว่างประเทศเป็นหลัก...

และถ้าหากว่ากันให้ “ลึกๆ” ลงไปแล้ว...แค่การลอบยิง ลอบสังหาร ตัวแทนทางการทูตอเมริกาแค่ 3 ราย ไม่ว่าในแอฟริกาใต้หรือที่ไหนๆ ก็แล้วแต่ คงไม่อาจช่วย “ชำระแค้น” ให้กับบรรดาปวงชนชาวอิหร่านได้มากมายสักเท่าไหร่ เพราะที่ทางการอิหร่านเขาได้ตั้งเป้า ตั้งจุดมุ่งหมายของการล้างแค้นคราวนี้ ว่ากันว่า...จะเอาให้ถึงขั้น “กองทัพอเมริกันทั้งมวล” ที่เคยมีฐานที่ตั้งอยู่ในภูมิภาคตะวันออกกลาง ต้องถูกตามล้าง ตามเช็ด จนไม่อาจตั้งมั่นอยู่ภายในภูมิภาคนี้ได้เลยแม้แต่คนเดียว อันนั้นนั่นแหละ...ที่น่าจะเป็นเป้าประสงค์ เป้าหมาย อันทำให้ทางการอิหร่านยังคงไม่คิดจะ “ลดธง” ต่อการไว้อาลัยนายพล “สุไลมานี” จนตราบเท่าทุกวันนี้ และดูเหมือนความเป็นไปตามเป้าหมายดังกล่าว ก็น่าจะค่อยๆ “คืบหน้า” ไปตามลำดับ เพราะการดิ้นรนกระเสือกกระสนของทหารอเมริกันในประเทศอิรักทุกวันนี้ ก็ยิ่งเป็นอะไรที่ลำบากยากเย็นยิ่งเข้าไปทุกที จนเริ่มมีข่าวการคิด “ถอนทหาร” อเมริกัน ออกจากอิรักและบางประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลางไปเป็นขั้นๆ...

พูดง่ายๆ ว่า...อิหร่านยุคนี้ เขาคงไม่ได้เอาแต่ห่ามๆ ห้าวๆ คิดจะก่อการร้าย คิดลอบยิง ลอบสังหารใครต่อใคร แบบที่อเมริกันชนทั้งหลายเคยคิดๆ อีกต่อไปแล้ว ตรงกันข้าม...กลับเป็นอะไรที่ออกจะสุขุมลุ่มลึก มีสติ-สตังชนิดต้องคิดกันระดับ 3 ชั้น 8 ชั้นเป็นอย่างน้อย ถึงจะจับให้มั่น-คั้นให้ตายได้จริงๆ เพราะขนาดโดนคุณพ่ออเมริกา “แซงชั่น” ฝ่ายเดียว ระดับ “Maximum” หรือระดับสูงสุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ แต่ถึงทุกวันนี้...ไม่เพียงอิหร่านยังพออยู่ได้ แต่ยังหันมา “เปิดเกมรุกกลับ” ทั้งในด้านการค้า การตลาด การทูต ฯลฯ ชนิดเล่นเอาคุณพ่ออเมริกาหน้าแหกเป็นปลาริ้วแห้ง คราวแล้ว คราวเล่า เช่น การหันไปค้าขายส่งน้ำมันและแก๊สให้กับประเทศที่ถูก “แซงชั่น” ด้วยกัน อย่างประเทศเวเนซุเอลา ของประธานาธิบดี “นิโคลัส มาดูโร” อย่างเป็นน้ำ เป็นเนื้อ ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ...

ก่อนหน้านั้นแค่ไม่กี่เดือน ก็สามารถส่งเรือบรรทุกน้ำมันและแก๊ส 5 ลำ ไปเทียบท่าสวนหลังบ้านคุณพ่ออเมริกา ทั้งไป-ทั้งกลับ โดยรัฐบาลอเมริกันไม่อาจเข้าไปยื่น “บัตรสมาชิกสมาคมเสือก” ได้เลย แม้ว่าช่วงไม่นานมานี้ จะมีข่าวทางการอเมริกันยึดเรือบรรทุกน้ำมันอิหร่านที่คิดมาเทียบท่าเวเนซุเอลาไปได้ถึง 4 ลำ ซึ่งทางการอิหร่านได้ออกมาปฏิเสธไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่เอาเป็นว่า...ล่าสุด เมื่อวันที่ 14 กันยาฯ ที่ผ่านมานี่เอง ถ้าว่ากันตามรายงานของสำนักข่าว “Bloomberg” เรือบรรทุกน้ำมันอิหร่านที่ชื่อว่า “Honey” ได้ขนน้ำมันประมาณไม่น้อยกว่า 2 ล้านบาร์เรล แล่นเข้าไปเทียบท่าเมือง “Port of Jose” แถบเขต “South Pars” ในประเทศเวเนซุเอลาได้เป็นที่เรียบร้อย แถมยังนำเอา “สินค้าอิหร่าน” จำนวนไม่น้อย เข้าไปวางตลาดทั้งในเวเนซุเอลา ยันไปถึงซูเปอร์มาร์เก็ตในประเทศแอฟริกาใต้ แบบเป็นเนื้อ เป็นหนัง เอามากๆ...

แต่ที่น่าตาเหลือก ตาลาน ยิ่งไปกว่านั้น...ก็เห็นจะเป็นการหันมา “Look East” อย่างเป็นระบบและกิจการของอิหร่าน ด้วยการหันไปทำ “ข้อตกลงทางยุทธศาสตร์” หรือหันไปเป็น “หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์” กับประเทศในเอเชีย อย่างคุณพี่จีนอย่างจริงๆ-จังๆ จนเกิดเอกสารข้อตกลงความยาวประมาณ 18 หน้ากระดาษ ที่สื่อตะวันตกอย่าง “The New York Times” ต้องนำมาเปิดเผย เปิดโปง อย่างชนิดหูแหก-ตาแหกพอสมควร แม้ว่าข้อตกลงดังกล่าวจะยังไม่มีการ “ลงนาม” หรือต้องนำไปผ่านความเห็นชอบของรัฐสภาในอีกไม่นานนับจากนี้ แต่ถือเป็นข้อตกลงในระดับที่นักข่าวและนักคิด-นักเขียน แห่งสำนักข่าว “Sputnik” ของรัสเซียอย่าง “Ekaterina Blinova” ถึงกับต้องสรุปไว้ในหัวข้อข่าวประมาณว่า... “How Iran-China Strategic Partnership May Hammer Final Nail in Coffin of US’s Maximum Pressure Policy.” หรือทำไมความเป็น “หุ้นส่วนยุทธศาสตร์” ของอิหร่านและจีน อาจกลายเป็น “ตะปูตัวสุดท้าย” ในการ “ตอกฝาโลง” ให้กับนโยบายแซงชั่นของอเมริกัน เอาเลยถึงขั้นนั้น!!!

คือพูดง่ายๆ ว่า...ข้อตกลงคราวนี้ ไม่เพียงแต่ทำให้การลงทุนทางธุรกิจของบรรดานักธุรกิจชาวจีน นับไม่รู้กี่ต่อกี่พันล้านดอลลาร์ในอีกตลอด 25 ปีข้างหน้า ไม่ว่าด้านพลังงาน การศึกษา เทคโนโลยี ฯลฯ จะช่วยให้ “ระบบเศรษฐกิจอิหร่าน” ทั้งระบบ สามารถเดินหน้าแบบไปโลด ไปไกล ชนิดเริ่มนำเอาสินค้า “เมด อิน อิหร่าน” ไปวางขายในตลาดแอฟริกาใต้เท่านั้นแล้ว ยังขยายขอบเขตไปถึงความร่วมมือด้านความมั่นคง หรือ “การทหาร” ระดับพร้อมเปิดฉาก “ซ้อมรบร่วม” กันไปเป็นขั้นๆ หรือถือเป็น “การเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์” ในตะวันออกกลางและเอเชียเอาเลยถึงขั้นนั้น ดังที่นักวิเคราะห์ผู้เชี่ยวชาญด้านตะวันออกกลาง อย่าง “นายMahan Abedin” สรุปไว้นั่นแหละว่า “กว่า 150 ปีที่ผ่านมา...อิหร่านมักมองไปทางตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งยุโรป ไม่ว่าด้านการค้า การลงทุน การศึกษา ฯลฯ แม้แต่การปฏิวัติอิสลามในปี ค.ศ. 1979 ก็ไม่ได้ทำให้ทิศทางความสนใจของอิหร่านเปลี่ยนไปสักเท่าไหร่ แต่เนื่องมาจากความล้มเหลวของการบรรลุข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน (JCPOA) นั่นเอง ที่ทำให้อิหร่านแทบหมดศรัทธาต่อประเทศตะวันตก” เลยต้องหันไป “Look East” หรือหันไปหาคุณพี่จีนแบบเน้นๆ เนื้อๆ...

การ “ผนึกกำลัง” กันระหว่างจีน-อิหร่าน-รัสเซีย จนเลยไปถึงเวเนซุเอลาโน่นเลย ในแบบนับวันยิ่งแน่นเหนียวเอามากๆ จึงเป็นอะไรที่อาจนำมาซึ่ง “การล้างแค้น-เอาคืน” อันเจ็บปวดรวดร้าว ซะยิ่งกว่าการลอบยิง ลอบตีกบาล ทูตอเมริกาประจำแอฟริกาใต้ แค่ราย-สองราย ไม่รู้กี่หมื่น กี่แสนเท่า คืออาศัยแค่ “หมากล้อม” เช่นเดียวกับบรรดาประเทศ “คู่กัด” ของคุณพ่ออเมริกาทั้งหลาย ไม่ต้องเสียเวลาไปลอบยิง ลอบสังหาร ลอบขี่เครื่องบินไปชนตึกโน้น ตึกนี้ แค่ “คลึงไป-คลึงมา” “กดไป-กดมา” โดยอย่าเผลอไปเปิดโอกาสให้คุณพ่ออเมริกามีสิทธิ “ออกอาวุธ” ใดๆ ได้เพียงเท่านี้...โอกาสที่ “จักรวรรดินิยมอเมริกา” อาจพังพินาศไปเอง หรือถึงขั้น “แตก-ดัง-โพละ” ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ย่อมได้!!!




กำลังโหลดความคิดเห็น