“สอดแนมการเมือง”
“ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย”
“โลกมีทรัพยากรเพียงพอที่จะแบ่งปันให้กับมนุษย์ทุกคน แต่มีไม่มากพอ สำหรับความต้องการของคนโลภแม้เพียงคนเดียว”
อืม..แค่ “หนึ่งคนโลภ” ยังทำเอา “มหาตมา คานธี” อดรนทนไม่ไหว ถึงกับต้องสรุปด้วยคำพูดดังกล่าวข้างต้นเลยนะ
ทว่า..ชาติไทยนี้โชคร้ายนัก ที่มี “นักการเมืองโลภไม่รู้จักพอเป็นฝูง”! สุมหัวแย่งชิง “อำนาจรัฐ” กันอย่างเอาเป็นเอาตาย ด้วยวิธีชั่วช้าสามานย์ต่างๆนานา เพื่อใช้กลไกรัฐโกงชาติ ตั้งแต่อดีตจรดปัจจุบัน
ด้วยฝูง “นักการเมืองไทย” ส่วนใหญ่ เห็นแก่ตัวกับพวกพ้อง เอาชนะการเลือกตั้งด้วยวิธีสกปรก ทั้งซื้อเสียงและโกงการเลือกตั้งสารพัด ครั้นได้เป็น “รัฐบาลเลือกตั้ง” ก็สมคบกันโกงชาติ จนถูกสื่อเปิดโปงแฉโพยความชั่ว และโดนประชาชนออกมาชุมนุมขับไล่ครั้งแล้วครั้งเล่า..
เมื่อ “รัฐบาลเลือกตั้งโคตรโกง”ถูกผู้คนในชาติ รุมประณามสาปแช่งไปทั่วทุกหย่อมหญ้า จนรัฐบาลตกอยู่ในสภาพง่อนแง่นจะล้มมิล้มแหล่ ก็มักหาทางออกตามแนวทางประชาธิปไตย ที่แก้ปัญหาซ้ำซากด้วยวิธี “นายกรัฐมนตรีลาออก” หรือ “ปรับ ครม.” โดยหวังจะลดความไม่พอใจทางการเมืองลง แต่ถ้ายังแก้ปัญหาไม่ได้อีกก็ต้อง “ยุบสภา” แล้ว“เลือกตั้งใหม่”
เพราะถ้า “รัฐบาลเลือกตั้งโกงชาติ” ยังดันทุรัง ดื้อแพ่งจะยื้ออยู่ในอำนาจต่อไป ก็จะเจอกับทางออกสุดท้ายที่“โคตรน้ำเน่า” โดย“กลุ่มนายทหาร”ที่มีอำนาจ ฉวยโอกาสใช้ข้ออ้างการโกงชาติ นำกองทัพออกมาทำรัฐประหาร โค่นรัฐบาลเลือกตั้งโกงชาติให้ล้มครืน
ดังการทำรัฐประหารของ “บิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ที่เป็นทั้ง “หน.ครปห.” ควบ “นายกฯ รัฐประหาร” ซึ่งใช้อำนาจรัฐเผด็จการนานกว่า 5 ปี และใช้สารพัดวิธีการเพื่อสืบทอดอำนาจ จนได้เป็น“นายกฯเลือกตั้งเป็ดง่อยตู่” อีก 1 ปีกว่า
ทว่า “รัฐบาลรัฐประหารตู่” กับ “นายกฯ เลือกตั้งเป็ดง่อยตู่” ก็ไร้ความคิดสร้างสรรค์ที่ถูกต้อง และไร้ความสามารถในการแก้ต้นเหตุปัญหาให้ชาติ แถมเดินแนวทางเศรษฐกิจและการเมืองที่ผิดอีกด้วย เช่น ดันมอง“โลกสวยเกินจริง”ด้วยแผน “รวยช่วยจน” ใช้สูตร “รดน้ำจากข้างบนให้ไหลลงเบื้องล่าง”
แต่นโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล “บิ๊กตู่” นี้ เนื้อแท้ได้เอื้อประโยชน์อย่างมหาศาลแทบทุกมิติ ให้กับ “กลุ่มทุนใหญ่” ทั้งในและต่างชาติ เพราะ“น้ำส่วนใหญ่(เงินงบประมาณ)ที่รัฐบาลรด(จัดสรร)ให้”นั้น ถูกกลุ่มทุนใหญ่ที่อยู่ข้างบน “กักเก็บส่วนใหญ่ไว้” มี “น้ำ(เงินงบประมาณ)แค่น้อยนิด” ที่ถูกปล่อยไหลลงมาถึงข้างล่าง ดังนั้น “กลุ่มทุนใหญ่ไม่กี่ตระกูล” จึงรวยขึ้น..รวยขึ้น ขณะที่ผู้มีรายได้น้อยและคนจน ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ในชาติกลับจนลง..จนลง..
แถมรัฐบาล “บิ๊กตู่” ยังทุ่มเงินงบประมาณชาติมากมายมหาศาล ไปกับการก่อสร้างระบบคมนาคมมากจนเกินควร โดยบางโครงการไม่ได้จำเป็นเร่งด่วนเสียด้วยสิ
หาก “บิ๊กตู่” แบ่งเงินงบประมาณ นำมาช่วยภาคการเกษตรกับกิจการเอสเอ็มอี. ทั้งการ“วิจัย-พัฒนา-ผลผลิต-แปรรูป”อย่างจริงจัง ฯลฯ ย่อมทำให้เศรษฐกิจชาติแข็งแรง เติบโตกว้างขวางมั่นคงมากยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน
แต่ด้วยนโยบาย “อุ้มคนรวย” เป็นหลักของ “บิ๊กตู่” ที่ผิดพลาดอย่างมหันต์ ทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตในวงแคบๆ ของกลุ่มทุนใหญ่เท่านั้น เมื่อธุรกิจเอสเอ็มอี-ผู้มีรายได้น้อย-เกษตรกร ฯลฯ เข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำ ที่เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจ อีกทั้งเข้าไม่ถึงเทคโนโลยีทันสมัย ที่ช่วยพัฒนาสินค้าและส่งเสริมช่องทางการจำหน่าย ฯลฯ เศรษฐกิจของคนไทยส่วนใหญ่จึงฝืดเคือง คุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่แย่ลง ความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยทวีขึ้น ซ้ำเติมสภาพ “รวยกระจุกจนกระจาย” จนพุ่งติดอันดับต้นๆของโลกไปเลย!
เมื่อสังคมโลกต้องเผชิญกับ “โควิด-19” ทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกในมิติต่างๆ ส่วนใหญ่หดตัว-ยุติกิจการชั่วคราว-ยุติกิจการอย่างถาวร ฯลฯ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ การส่งสินค้าออก ฯลฯโดยเฉพาะธุรกิจท่องเที่ยว ต้องหยุดชะงัก ส่งผลร้ายต่อเนื่องไปถึง ธุรกิจการบิน-โรงแรม-ร้านอาหาร และธุรกิจอีกมากมายที่เกี่ยวข้องกับการเดินทาง-ท่องเที่ยว ฯลฯ
เมื่อ “โควิด-19”ระบาดหนักไปทั่วโลก และระบาดเข้ามาในชาติไทย ยิ่งทำให้เศรษฐกิจไทยต้องสะดุดหยุดกึกลง
ชาติไทย..ภายใต้การบริหารเศรษฐกิจชาติแบบเดิมๆ ของ “บิ๊กตู่”นั้น ผู้คนยังคงมองไม่เห็น“แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์”..แม้แต่น้อย!
โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อยและคนจน ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของชาติ หนีไม่พ้นต้องจมปลักอยู่กับความยากจน และยังต้องลำบากยากแค้นมากยิ่งขึ้น ด้วยรัฐบาล“บิ๊กตู่”ยังไม่มีการกระจายรายได้ทางเศรษฐกิจอย่างยุติธรรมนั่นเอง
ส่วนนโยบายทางการเมืองอย่างน้อย 3 เรื่องของ “บิ๊กตู่” ที่เป็น“หน.คปหร.” ควบ “นายกฯ” ที่ได้ประกาศเป็นสัญญาประชาคม ณ วันทำรัฐประหาร นั่นคือ หนึ่ง-จะปราบปรามขบวนการโกงชาติ สอง-จะลดความเหลื่อมล้ำให้ชาติ สาม-จะปฏิรูปชาติทุกภาคส่วนก่อนเลือกตั้ง ฯลฯ
แต่การครองอำนาจอย่างต่อเนื่องนานกว่า 6 ปี มีเวลาเพียงพอสำหรับการแก้ปัญหาหลักของชาติไทย ทว่า..“นายกฯบิ๊กตู่”ไม่ได้ทำตามคำพูดดังกล่าวแม้แต่เรื่องเดียว
เมื่อ “นายกฯ บิ๊กตู่” ไม่ปฏิรูปการเมืองก่อนเลือกตั้ง การเมืองไทยจึงไม่มีการพัฒนาแม้แต่น้อย แถมยัง “เดินถอยหลังลงคลอง” เสียอีก! ด้วยการดึงเอา “กลุ่มนักการเมือง” ที่เคยร่วมสังฆกรรมกับรัฐบาลเลือกตั้งโกงชาติ ให้หวนเข้ามาทำงานทั้งในสภาและในรัฐบาล โดย “นักการเมือง” ทั้ง “สีเทา” และ “สีดำ” ทั้งหลาย ต่างได้รับตำแหน่งสำคัญกันเต็มไปหมด ทั้งในสภา ครม.และในแวดวงการเมือง
แม้เป็นรัฐบาลที่มี “อดีต ผบ.ทบ. ถึงสามคน” ครองเมือง แต่เพราะไม่ได้ปฏิรูปการเมืองมาจนทุกวันนี้ จึงทำให้การเมืองของชาติไร้ความสงบเท่าที่ควร เกิดการแย่งชิงอำนาจมิรู้จบในพรรคแกนนำรัฐบาล ที่มีอดีต ผบ.ทบ. และรองนายกฯเป็นหัวหน้าพรรค! เกิดการต่อสู้ทางการเมืองชนิดเอาเป็นเอาตาย ระหว่าง “ฝ่ายรัฐบาล” ที่หวงอำนาจ กับ “ฝ่ายค้าน” ที่แย่งอำนาจ มุ่งล้มรัฐบาล ทำให้การเมืองไทยกำลังเดินสู่โหมดอันตรายอย่างยิ่ง..
ในสภามี “บางพรรคการเมือง” ประกาศจะ“ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์”!
นอกสภามีม็อบ “กวิ้น-รุ้ง-อานนท์” เคลื่อนไหวจะ“ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์” เช่นกัน! ก่อนจะยกระดับการเคลื่อนไหว เพื่อเปลี่ยน “ราชอาณาจักรไทย” เป็น“สาธารณรัฐ”!
การเคลื่อนไหวชุมนุมทุกครั้งเพื่อเป้าหมายดังกล่าว ต้องมีผู้คนมาร่วมชุมนุมไม่มากก็น้อย จึงต้องใช้เงินทองสนับสนุนจริงไหม? แล้ว “อีแอบการเมือง” ที่เป็นท่อน้ำเลี้ยงในการเคลื่อนไหวนั้น..คือ“ใครหว่า”?
แต่ที่แน่ๆ “บางพรรคการเมือง” ที่เราก็รู้ว่า “คือพรรคใด”นั้น ได้ “พูด” สนับสนุนการเคลื่อนไหวของ “สามผู้นำม็อบ..กวิ้น-รุ้ง-อานนท์” ทั้งในสภาและนอกสภาแบบเต็มสูบทุกครั้ง
อ้อ..พวก “เขา” และ“เธอ” เหล่านั้น ไม่กลัวกฎหมายบ้านเมืองแม้แต่น้อย เพราะมี “บางชาติ” พร้อมอ้าแขนรับ ถ้าต้องหนีไปลี้ภัยนะเว้ยเฮ้ย
แถม “เถ้าแก่น้อยจอมยุ” ก็มีธุรกิจใหญ่โตในต่างแดน พร้อมให้ “แกนนำม็อบทุกคน” เปลี่ยนสภาพมาเป็น“ลูกจ้าง” อีกด้วยนะว้อย..
ฉะนั้น“ย.ห. อย่าห่วง”อะไรอีกเลย เพราะ“นักการเมืองคนรุ่นใหม่เอี่ยมหลายคน” กับ“แกนนำม็อบล้มเจ้าหลายคน” ที่เชื่อมั่นเกินร้อยว่า “พวกตูฉลาดกว่าใครในใต้หล้า”.. “ห้ามไม่ฟัง” กันอยู่แล้วแน่นอน
งั้นขอยุส่งให้ “สู้-สู้-สู้หัวชนฝาต่อไปอย่าได้ถอย” นะโว้ย..!
อืม..ถ้า “มหาตมา คานธี” มีชีวิตอยู่ ท่านคงเวทนา “ความโชคร้าย” ของชาวไทย ที่ดันได้“นายกฯ” กับ “รัฐบาล” และ“นักการเมืองฝูงใหญ่” ที่ด้อยคุณภาพ-เห็นแก่ตัว-โลภมาก ในอำนาจเงินทองมิรู้จักพอเช่นนี้..
เพราะ “คานธี” บอกแล้วนี่นาว่า “โลกมีทรัพยากรเพียงพอที่จะแบ่งปันให้กับมนุษย์ทุกคน แต่มีไม่มากพอกับความต้องการของคนโลภแม้เพียงคนเดียว”
มิน่า..จนทุกวันนี้..ประชาชนไทยจึงยังยากจน! ชาติไทยจึงยังไม่เจริญก้าวหน้าเท่าที่ควร!