ผู้จัดการรายวัน360- "บิ๊กบี้"ย้ำโอกาสปฏิวัติ เป็นศูนย์ การเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง ลั่นในหัวของตน คือชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน จะทำทุกอย่างเพื่อรักษาความมั่นคงของ 4 อย่างนี้ ยกคำสมเด็จโตฯ ใช้กระจกหกด้าน ส่องคนเรียกร้อง 10 ข้อปฏิรูปสถาบัน ยันทบ.ไม่ได้สั่งทหารไปเฝ้าเด็กหน้าโรงเรียน ระบุเด็ก ก็คือเด็ก มีโลกส่วนตัว มีความคิดของเขาเอง ยอมรับหน่วยปฏิบัติอาจมีวิธีปฏิบัติไม่เหมือนกัน ถ้ามีหลักฐานให้แจ้งเข้ามา
วานนี้ (6ต.ค.) ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผบ.ทบ. แถลงภายหลังเป็นประธานการประชุมหน่วยขึ้นตรงกองทัพบก (นขต.ทบ.) วาระพิเศษ ระดับผู้บัญชาการกองพลหรือเทียบเท่าครั้งแรก ถึงแนวนโยบายกองทัพกับการเมือง ว่า การเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง แต่ถ้าบอกว่ากองทัพกับรัฐบาลก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะกองทัพปฏิบัติตามนโยบายรัฐบาล ตนเป็นข้าราชการประจำ ไม่ใช่ข้าราชการการเมือง ดังนั้นตนปฏิบัติตามนโยบายรัฐบาล รมว.กลาโหม และผู้บัญชาการทหารสูงสุด
เมื่อถามว่า ในฐานะที่ดำรงตำแหน่ง ผบ.ทบ. 3 ปี จะให้ความมั่นใจหรือให้สัญญากับประชาชน รัฐบาล หรือนักลงทุนอย่างไรว่า จะไม่มีการปฏิวัติรัฐประหารเกิดขึ้น พล.อ.ณรงค์พันธ์ กล่าวว่า คำถามนี้ถามมาทุก ผบ.ทบ. และทุกคนก็ตอบไปหมดแล้ว คือโอกาสของการทำเรื่องพวกนี้ ทุกอย่างเป็นศูนย์หมด
เมื่อถามถึง การชุมนุมทางการเมืองที่มีการหมิ่นสถาบันฯ พล.อ.ณรงค์พันธ์ กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีเสรีภาพ ตนถามว่าใครที่บอกว่าไม่เป็นประชาธิปไตยนั้น คืออะไรที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ทุกคนก็มีเสรีภาพ แต่เสรีภาพการแสดงความคิดเห็นก็มีตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ แต่ต้องเข้าใจว่าการใช้สิทธิเสรีภาพด้านใดด้านหนึ่งต้องมี 2 เรื่องประกอบ คือ 1. ต้องไม่ก้าวล่วงสิทธิของคนอื่น 2. ต้องมีความรับผิดชอบต่อเสรีภาพที่ตนเองกระทำ ถ้าไปก้าวล่วงหรือทำผิดกฎหมาย
เมื่อถามว่า มองว่าข้อเรียกร้องปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ 10 ข้อ พล.อ.ณรงค์พันธ์ กล่าวว่า ก็เหมือนกับการปฏิรูป แต่การปฏิรูปคือ การแก้ไขปรับปรุง ดังนั้นทุกคนควรกลับมามอง และปฏิรูปตนเองก่อน เหมือนกับคำสอนของสมเด็จโตฯ ตนเป็นชาวพุทธที่นับถือสมเด็จโต ท่านสอนเรื่องกระจกหกด้าน ไม่ใช่มองแต่ด้านตัวเองว่าดี และถูกต้องหมดทุกอย่าง ซึ่งต้องมองมุมอื่นด้วยทั้ง 6 ด้าน ตนอยากให้ทุกคนมองตนเองก่อน และกลับไปดูตนเองว่ามีความถูกต้อง สมบูรณ์ และมีความวิริยะก่อนที่จะไปบอกให้คนอื่นทำแบบนั้น แบบนี้
เมื่อถามว่า ได้ให้นโยบายเรื่องการปกป้องสถาบัน ได้ให้นโยบายอย่างไรบ้าง พล.อ.ณรงค์พันธ์ กล่าวว่า ในหัวของตนมี 4 อย่าง คือชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน จะทำทุกอย่างเพื่อรักษาความมั่นคงของ 4 อย่างนี้ ซึ่งไม่บอกว่าจะทำอะไร แต่จะทำตามอุดมการณ์ของกองทัพบก และอุดมการณ์ของตนที่ยึดถือมาตั้งแต่เข้าเป็นนักเรียนโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า
เมื่อถามว่า มองว่าบ้านเมืองจะเป็นอย่างไรต่อไป พล.อ.ณรงค์พันธ์ กล่าวว่า ทุกอย่างเป็นไปตามกรอบกฎหมาย ที่เป็นกรอบระเบียบของบ้านเมืองและสังคม เราอยู่ในสังคมใหญ่ก็มีคนหลายพวกหลายความคิดอยู่แล้ว เพียงแต่สังคมส่วนร่วมต้องควบคุม
เมื่อถามว่า หากมีความรุ่นแรงเกิดขึ้นกับกลุ่มผู้ชุมนุม จะเป็นเงื่อนไขในการที่ทหารจะออกมาทำรัฐประหาร หรือไม่ พล.อ.ณรงค์พันธ์ กล่าววว่า รุนแรงอย่างไร ซึ่งต่างฝ่ายต่างบอกว่าจะไม่ใช้ความรุนแรง แล้วความรุนแรงจะเกิดขึ้นได้อย่างไร จะเห็นว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มาดูแลความเรียบร้อยไม่มีการพกอาวุธอะไรเลย เราเรียนรู้จากเหตุการณ์ที่ผ่านมาว่า ความรุนแรงไม่มีประโยชน์ สำหรับทุกสังคมในโลก
ส่วนกรณีที่ได้มีการมายื่นหนังสือให้ทางกองทัพบก กรณีทหารเข้าไปคุกคามนักเรียนในโรงเรียนเบญจมราชูทิศ นครศรีธรรมราช ผบ.ทบ.กล่าวว่า ได้รับรายงานมาแล้วส่วนหนึ่ง แต่นี่เป็นเรื่องของสังคมที่จะต้องอยู่ร่วมกัน บนพื้นฐานความแตกต่างทางความคิดได้ เราต้องเรียนรู้ การปฏิรูปคือการแก้ไข ซึ่งกำลังพลของกองทัพบก มี 3 แสนคน ในสิ่งที่เรามอบงานให้ไปผ่านทางกองทัพ ผ่านทางสายการบังคับบัญชา เขาก็ไปทำงานนั้น ซึ่งแต่ละคน แต่ละหน่วย ก็ไปทำงานที่อาจจะวิธีปฏิบัติไม่เหมือนกัน หรือความเข้าใจอาจไม่เต็มร้อย ไม่มีสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะเขาก็ไปทำงานของเขาตามสั่งการผู้บังคับบัญชา แต่เมื่อเกิดปัญหาแล้ว การแก้ไขปัญหาของแต่ละคนอาจไม่เหมือนกัน หรือการแก้ไขให้มันมีความเข้าใจกันอาจไม่เหมือนกัน บางที่เราต้องยอมรับว่าคนของเรา คุณยังทำไม่สมบูรณ์ ยังทำไม่ดี กลับมาทบทวนกันให้ ซึ่งทางกองทัพบกต้องกลับมาทบทวน ว่าทำอย่างนี้ไม่ได้เราต้องอยู่ในสังคมที่มีความแตกต่างในหลายๆ ด้านด้วยกันได้
เมื่อถามย้ำ มีผู้ชุมนุมได้ออกมาให้ข่าวว่าทางทหารได้ไปติดตามสังเกตการณ์ในโรงเรียนต่างๆ เราจะมีการทบทวนในเรื่องนี้หรือไม่ พล.อ.ณรงค์พันธ์ กล่าวว่า โรงเรียนมีกี่โรงเรียนในประเทศไทย ไปตามหมดไม่ไหว "มันไม่มีหรอกครับ ถ้ามีหลักฐานก็ให้แจ้งมาเราจะได้รู้ว่าใครไปทำอย่างนั้น กองทัพบกไม่มีนโยบายในเรื่องนี้ เพราะเด็กก็คือเด็ก เรามีลูกมีหลาน มีความคิดของเขา มีโลกส่วนตัวของเขา"
วานนี้ (6ต.ค.) ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผบ.ทบ. แถลงภายหลังเป็นประธานการประชุมหน่วยขึ้นตรงกองทัพบก (นขต.ทบ.) วาระพิเศษ ระดับผู้บัญชาการกองพลหรือเทียบเท่าครั้งแรก ถึงแนวนโยบายกองทัพกับการเมือง ว่า การเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง แต่ถ้าบอกว่ากองทัพกับรัฐบาลก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะกองทัพปฏิบัติตามนโยบายรัฐบาล ตนเป็นข้าราชการประจำ ไม่ใช่ข้าราชการการเมือง ดังนั้นตนปฏิบัติตามนโยบายรัฐบาล รมว.กลาโหม และผู้บัญชาการทหารสูงสุด
เมื่อถามว่า ในฐานะที่ดำรงตำแหน่ง ผบ.ทบ. 3 ปี จะให้ความมั่นใจหรือให้สัญญากับประชาชน รัฐบาล หรือนักลงทุนอย่างไรว่า จะไม่มีการปฏิวัติรัฐประหารเกิดขึ้น พล.อ.ณรงค์พันธ์ กล่าวว่า คำถามนี้ถามมาทุก ผบ.ทบ. และทุกคนก็ตอบไปหมดแล้ว คือโอกาสของการทำเรื่องพวกนี้ ทุกอย่างเป็นศูนย์หมด
เมื่อถามถึง การชุมนุมทางการเมืองที่มีการหมิ่นสถาบันฯ พล.อ.ณรงค์พันธ์ กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีเสรีภาพ ตนถามว่าใครที่บอกว่าไม่เป็นประชาธิปไตยนั้น คืออะไรที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ทุกคนก็มีเสรีภาพ แต่เสรีภาพการแสดงความคิดเห็นก็มีตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ แต่ต้องเข้าใจว่าการใช้สิทธิเสรีภาพด้านใดด้านหนึ่งต้องมี 2 เรื่องประกอบ คือ 1. ต้องไม่ก้าวล่วงสิทธิของคนอื่น 2. ต้องมีความรับผิดชอบต่อเสรีภาพที่ตนเองกระทำ ถ้าไปก้าวล่วงหรือทำผิดกฎหมาย
เมื่อถามว่า มองว่าข้อเรียกร้องปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ 10 ข้อ พล.อ.ณรงค์พันธ์ กล่าวว่า ก็เหมือนกับการปฏิรูป แต่การปฏิรูปคือ การแก้ไขปรับปรุง ดังนั้นทุกคนควรกลับมามอง และปฏิรูปตนเองก่อน เหมือนกับคำสอนของสมเด็จโตฯ ตนเป็นชาวพุทธที่นับถือสมเด็จโต ท่านสอนเรื่องกระจกหกด้าน ไม่ใช่มองแต่ด้านตัวเองว่าดี และถูกต้องหมดทุกอย่าง ซึ่งต้องมองมุมอื่นด้วยทั้ง 6 ด้าน ตนอยากให้ทุกคนมองตนเองก่อน และกลับไปดูตนเองว่ามีความถูกต้อง สมบูรณ์ และมีความวิริยะก่อนที่จะไปบอกให้คนอื่นทำแบบนั้น แบบนี้
เมื่อถามว่า ได้ให้นโยบายเรื่องการปกป้องสถาบัน ได้ให้นโยบายอย่างไรบ้าง พล.อ.ณรงค์พันธ์ กล่าวว่า ในหัวของตนมี 4 อย่าง คือชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน จะทำทุกอย่างเพื่อรักษาความมั่นคงของ 4 อย่างนี้ ซึ่งไม่บอกว่าจะทำอะไร แต่จะทำตามอุดมการณ์ของกองทัพบก และอุดมการณ์ของตนที่ยึดถือมาตั้งแต่เข้าเป็นนักเรียนโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า
เมื่อถามว่า มองว่าบ้านเมืองจะเป็นอย่างไรต่อไป พล.อ.ณรงค์พันธ์ กล่าวว่า ทุกอย่างเป็นไปตามกรอบกฎหมาย ที่เป็นกรอบระเบียบของบ้านเมืองและสังคม เราอยู่ในสังคมใหญ่ก็มีคนหลายพวกหลายความคิดอยู่แล้ว เพียงแต่สังคมส่วนร่วมต้องควบคุม
เมื่อถามว่า หากมีความรุ่นแรงเกิดขึ้นกับกลุ่มผู้ชุมนุม จะเป็นเงื่อนไขในการที่ทหารจะออกมาทำรัฐประหาร หรือไม่ พล.อ.ณรงค์พันธ์ กล่าววว่า รุนแรงอย่างไร ซึ่งต่างฝ่ายต่างบอกว่าจะไม่ใช้ความรุนแรง แล้วความรุนแรงจะเกิดขึ้นได้อย่างไร จะเห็นว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มาดูแลความเรียบร้อยไม่มีการพกอาวุธอะไรเลย เราเรียนรู้จากเหตุการณ์ที่ผ่านมาว่า ความรุนแรงไม่มีประโยชน์ สำหรับทุกสังคมในโลก
ส่วนกรณีที่ได้มีการมายื่นหนังสือให้ทางกองทัพบก กรณีทหารเข้าไปคุกคามนักเรียนในโรงเรียนเบญจมราชูทิศ นครศรีธรรมราช ผบ.ทบ.กล่าวว่า ได้รับรายงานมาแล้วส่วนหนึ่ง แต่นี่เป็นเรื่องของสังคมที่จะต้องอยู่ร่วมกัน บนพื้นฐานความแตกต่างทางความคิดได้ เราต้องเรียนรู้ การปฏิรูปคือการแก้ไข ซึ่งกำลังพลของกองทัพบก มี 3 แสนคน ในสิ่งที่เรามอบงานให้ไปผ่านทางกองทัพ ผ่านทางสายการบังคับบัญชา เขาก็ไปทำงานนั้น ซึ่งแต่ละคน แต่ละหน่วย ก็ไปทำงานที่อาจจะวิธีปฏิบัติไม่เหมือนกัน หรือความเข้าใจอาจไม่เต็มร้อย ไม่มีสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะเขาก็ไปทำงานของเขาตามสั่งการผู้บังคับบัญชา แต่เมื่อเกิดปัญหาแล้ว การแก้ไขปัญหาของแต่ละคนอาจไม่เหมือนกัน หรือการแก้ไขให้มันมีความเข้าใจกันอาจไม่เหมือนกัน บางที่เราต้องยอมรับว่าคนของเรา คุณยังทำไม่สมบูรณ์ ยังทำไม่ดี กลับมาทบทวนกันให้ ซึ่งทางกองทัพบกต้องกลับมาทบทวน ว่าทำอย่างนี้ไม่ได้เราต้องอยู่ในสังคมที่มีความแตกต่างในหลายๆ ด้านด้วยกันได้
เมื่อถามย้ำ มีผู้ชุมนุมได้ออกมาให้ข่าวว่าทางทหารได้ไปติดตามสังเกตการณ์ในโรงเรียนต่างๆ เราจะมีการทบทวนในเรื่องนี้หรือไม่ พล.อ.ณรงค์พันธ์ กล่าวว่า โรงเรียนมีกี่โรงเรียนในประเทศไทย ไปตามหมดไม่ไหว "มันไม่มีหรอกครับ ถ้ามีหลักฐานก็ให้แจ้งมาเราจะได้รู้ว่าใครไปทำอย่างนั้น กองทัพบกไม่มีนโยบายในเรื่องนี้ เพราะเด็กก็คือเด็ก เรามีลูกมีหลาน มีความคิดของเขา มีโลกส่วนตัวของเขา"