ผบ.ทบ.ย้ำการเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง พร้อมทำตาม รบ. แจงโอกาสปฏิวัติเป็นศูนย์ อยากให้ติดลบต้องขจัดเงื่อนไข ทำให้ประเทศฟื้นตัว ชูไทยมีเสรีภาพแต่ต้องยึดตาม รธน. ย้อนปฏิรูปตัวเองก่อนไปถึงสถาบันฯ แนะสื่อปล่อยวางบ้าง ยันปกป้อง 4 สถาบันหลัก
วันนี้ (6 ต.ค.) ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) แถลงภายหลังเป็นประธานการประชุมหน่วยขึ้นตรงกองทัพบก (นขต.ทบ.) วาระพิเศษระดับผู้บัญชาการกองพล หรือเทียบเท่า ครั้งแรกหลังเข้ารับตำแหน่ง ถึงแนวนโยบายกองทัพกับการเมืองว่า การเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง แต่ถ้าบอกว่ากองทัพกับรัฐบาลก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะกองทัพปฏิบัติตามนโยบายรัฐบาล ตนเป็นข้าราชการประจำ ไม่ใช่ข้าราชการการเมือง ดังนั้นตนปฏิบัติตามนโยบายรัฐบาล รมว.กลาโหม และผู้บัญชาการทหารสูงสุด
เมื่อถามว่า ในฐานะที่ดำรงตำแหน่ง ผบ.ทบ.3 ปี จะให้ความมั่นใจหรือให้สัญญากับประชาชน รัฐบาลหรือนักลงทุนอย่างไรว่าจะไม่มีการปฏิวัติรัฐประหารเกิดขึ้น พล.อ.ณรงค์พันธ์กล่าวว่า คำถามนี้ถามมาทุก ผบ.ทบ. และทุกคนก็ตอบไปหมดแล้ว คือ โอกาสของการทำเรื่องพวกนี้ทุกอย่างเป็นศูนย์หมด บนพื้นฐานที่อย่าให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดสร้างเงื่อนไขปัญหาความขัดแย้งที่รุนแรง และกระทบต่อความเดือดร้อน ตนถือว่า พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) ได้ตอบไปแล้วภายหลังการประชุมผู้บัญชาการเหล่าทัพเมื่อวันที่ 5 ต.ค.ที่ผ่านมา อยากให้ทุกคนร่วมกันสร้างสรรค์สิ่งเหล่านี้ด้วยการขจัดเงื่อนไขต่างๆ เหล่านี้ให้หมดไปจากประเทศไทยและติดลบ เพราะศูนย์ก็ไม่พอ แต่การจะติดลบได้ทุกคนต้องช่วยกัน
เมื่อถามย้ำว่า แสดงว่าให้คำมั่นสัญญาว่าจะไม่มีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นโดยเด็ดขาด แม้สถานการณ์จะนำพาเราไป พล.อ.ณรงค์พันธ์กล่าวว่า “โอกาสมันไม่มีอยู่แล้ว คิดว่าสถานการณ์ประเทศไทยไม่มี เพราะตอนนี้เราเป็นประเทศที่ดีที่สุด เราก็เห็นอยู่แล้วว่าเป็นประเทศที่มีเสรีมากที่สุด และมีความอุดมสมบูรณ์ ที่เราอยู่กันแล้วมีความสุข คนส่วนใหญ่และใครๆ ก็อยากมาอยู่ประเทศไทย โดยเฉพาะในช่วงสภาวะการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 แบบนี้ที่มีมาตรการช่วยเหลือกัน และมีวินัยรักษาตัวเอง เราจึงต้องช่วยกันขจัดเงื่อนไขต่างๆ และทำให้ประเทศไทยฟื้นตัวมากกว่าประเทศอื่น รวมถึงให้ประเทศสามารถควบคุมอะไรทุกอย่างได้ และให้มีการฟื้นตัวเศรษฐกิจ ตอนนี้ทั่วประเทศเฝ้ามองอยู่ เพราะเขาก็อยากมาประเทศไทย”
เมื่อถามถึงการชุมนุมทางการเมืองที่มีการหมิ่นสถาบันฯ พล.อ.ณรงค์พันธ์กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีเสรีภาพ ถามว่าใครที่บอกว่าไม่เป็นประชาธิปไตยนั้น คืออะไรที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ทุกคนก็มีเสรีภาพ แต่เสรีภาพการแสดงความคิดเห็นก็มีตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ แต่ต้องเข้าใจว่าการใช้สิทธิเสรีภาพด้านใดด้านหนึ่งต้องมี 2 เรื่องประกอบ คือ 1. ต้องไม่ก้าวล่วงสิทธิของคนอื่น 2. ต้องมีความรับผิดชอบต่อเสรีภาพที่ตนเองกระทำถ้าไปก้าวล่วงหรือทำผิดกฎหมาย
เมื่อถามว่า มองว่าข้อเรียกร้องปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ 10 ข้อของนักศึกษาก้าวล่วงสถาบันฯ หรือไม่ พล.อ.ณรงค์พันธ์กล่าวว่า ก็เหมือนกับการปฏิรูป แต่การปฏิรูปคือการแก้ไขปรับปรุง ดังนั้น ทุกคนควรกลับมามองและปฏิรูปตนเองก่อน เหมือนกับคำสอนของสมเด็จโต ตนเป็นชาวพุทธที่นับถือสมเด็จโต ท่านสอนเรื่องกระจกหกด้าน ไม่ใช่มองแต่ด้านตัวเองว่าดีและถูกต้องหมดทุกอย่าง ต้องมองมุมอื่นด้วยทั้ง 6 ด้าน อยากให้ทุกคนมองตนเองก่อนและกลับไปดูตนเองว่ามีความถูกต้อง สมบูรณ์ และมีความวิริยะก่อนที่จะไปบอกให้คนอื่นทำแบบนั้นแบบนี้
เมื่อถามว่า ได้ให้นโยบายเรื่องการปกป้องสถาบันฯ ได้ให้นโยบายอย่างไรบ้าง พล.อ.ณรงค์พันธ์กล่าวว่า ในหัวของตนมี 4 อย่าง คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน จะทำทุกอย่างเพื่อรักษาความมั่นคงของ 4 อย่างนี้ ไม่บอกว่าจะทำอะไร แต่จะทำตามอุดมการณ์ของกองทัพบก และอุดมการณ์ของตนที่ยึดถือมาตั้งแต่เข้าเป็นนักเรียนโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า
เมื่อถามว่า 4 สถาบันหลักจะปกป้องอย่างไร พล.อ.ณรงค์พันธ์กล่าวว่า “ผมก็เข้าใจสื่อบางทีก็พยายามนั่งคิด นอนคิด กินข้าวก็คิด ทำอะไรก็คิดสิ่งต่างๆ เหล่านี้มา ผมคิดว่าบางทีเดี๋ยวจะเครียด บางทีทางสำนักเขาใช้งานเราเยอะเกินไป บางทีต้องมีเวลาออกกำลังกายบ้าง ไปกินอาหารดีๆ นอนหลับพักผ่อน รักษาสุขภาพ จะได้ทำข่าวได้นานๆ ถ้านั่งคิดนอนคิดจนนอนไม่หลับเดี๋ยวสุขภาพไม่ได้ก็จะไม่ได้มาพบปะพูดคุยกัน บางเรื่องปล่อยวางบ้าง ส่วนถึงขั้นต้องไปปฏิบัติธรรมหรือไม่ ก็แล้วแต่คน ถ้าเป็นชาวพุทธก็ไปไหว้พระสวดมนต์ ผมเย็นก็ออกกำลังกาย อาบน้ำ ไหว้พระสวดมนต์ก่อนนอน และก็นอนหลับสบาย”
เมื่อถามว่า มองว่าบ้านเมืองจะเป็นอย่างไรต่อไป พล.อ.ณรงค์พันธ์กล่าวว่า ทุกอย่างเป็นไปตามกรอบกฎหมายที่เป็นกรอบระเบียบของบ้านเมืองและสังคม เราอยู่ในสังคมใหญ่ก็มีคนหลายพวกหลายความคิดอยู่แล้ว เพียงแต่สังคมส่วนร่วมต้องควบคุมเมื่อถามว่า หากมีความรุนแรงเกิดขึ้นกับกลุ่มผู้ชุมนุม จะเป็นเงื่อนไขในการที่ทหารจะออกมาทำรัฐประหารหรือไม่ พล.อ.ณรงค์พันธ์กล่าววว่า รุนแรงอย่างไร ต่างฝ่ายต่างบอกว่าจะไม่ใช้ความรุนแรง แล้วความรุนแรงจะเกิดขึ้นได้อย่างไร จะเห็นว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มาดูแลความเรียบร้อยไม่มีการพกอาวุธอะไรเลย เราเรียนรู้จากเหตุการณ์ที่ผ่านมาว่าความรุนแรงไม่มีประโยชน์สำหรับทุกสังคมในโลก
เมื่อถามว่าสถานการณ์ปัจจุบันมีความเป็นห่วงเรื่องอะไรเป็นพิเศษหรือไม่ พล.อ.ณรงค์พันธ์กล่าวว่า ก็เป็นเรื่องของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น เรื่องการชุมนุม ทางตำรวจก็เป็นผู้รับผิดชอบอยู่แล้วตามปกติอยู่แล้ว