เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงหนีไม่พ้นต้องไปว่ากันเรื่องผู้นำประเทศมหาอำนาจสูงสุดในโลกอย่าง “ทรัมป์บ้า” ดันต้องมาติดเชื้อโควิดหรือ “COVID-19” นั่นแหละทั่น!!! เพราะถึงแม้การติด-ไม่ติด อาจถือเป็นเรื่องปกติธรรมดาสำหรับประเทศ “จ้าวโรค” ที่จำนวนผู้ติดเชื้อปาเข้าไปเกือบๆ สิบล้าน ตายไปแล้วเป็นแสนๆ แต่ถึงขั้นผู้นำสูงสุดระดับประธานาธิบดี รวมทั้งศรีภรรเมีย ที่กำลังชิงไหว ชิงพริบ ชิงชัยในการเลือกตั้งประธานาธิบดีอีกเพียงแค่ไม่ถึงเดือนนับจากนี้ ดันมา “หงายท้องกลางอากาศ” ซะดื้อๆ อันนี้...ต้องถือว่าไม่ใช่เรื่อง “ชิวๆ” (ชิลๆ) โดยเด็ดขาด!!!
คืออย่างที่หนังสือพิมพ์ “Scientific American” เขาไปสัมภาษณ์ความคิด ความเห็นของนักชีววิทยาแห่ง “NYU Grossman School of Medicine” คุณหมอ “Artur Caplan” นำมาเผยแพร่ไว้เมื่อวัน-สองวันนี้นั่นแหละว่า โดยปกติ...การปกปิดอำพราง ข่าวสาร-ข้อมูลที่แท้จริง เกี่ยวกับสุขภาพของผู้นำโลก หรือผู้นำประเทศอเมริกานั้น ถือเป็นเรื่องที่มักกระทำการกันมาโดยตลอด แม้แต่ผู้นำอย่าง “ทรัมป์บ้า” ก็ตาม ผลการตรวจสุขภาพเมื่อปีที่แล้ว หรือช่วงปี ค.ศ. 2019 ที่โรงพยาบาลทหาร “Walter Reed” ก็ยังถูกเม้มมิด ปิดบัง โดยไม่ได้คิดจะแถลงเปิดเผยใดๆ ให้ชัดเจน แต่การออกมายอมรับ ออกมา “ทวีต” ของประธานาธิบดีเมื่อช่วงวันศุกร์ (2 ก.ย.) ที่ผ่านมา ว่าตัวเองและศรีภรรเมีย “นางเมลานี” ได้ถูกเชื้อโควิดรับประทานเรียบโร้ยย์ย์แล้ว หรือโดยผลตรวจออกมาเป็น “บวก” ย่อมต้องไม่ถือเป็นเรื่อง “ธรรมดา” อยู่แล้วแน่ๆ...
แม้ว่าการออกมายอมรับคราวนี้...จะเกิดขึ้นหลังการตรวจพบเชื้อโควิด ของ “นางโฮป ฮิกส์” (Hope Hicks) ที่ปรึกษาอาวุโสทำเนียบขาว ที่สุดสาวและสุดสวยระดับ “ต้องเรียกรถพยาบาล” แต่นั่นก็ยังมิวายก่อให้เกิดคำถาม ว่าตกลงแล้ว...ผู้นำอเมริการายนี้ “ติดเชื้อ” มาจากใครกันแน่??? จะเป็นเพราะถูก “โฮป ฮิกส์” พ่นเชื้อใส่ระหว่างที่ตัวเองไม่ได้สวมหน้ากาก หรือไม่ได้สวมอะไรต่อมิอะไร หรือเป็นเพราะคนอื่น รวมถึงใครต่อใครที่อาจถูกประธานาธิบดีนำเอาเชื้อมาพ่นจนอาจต้องติดเชื้อตามไปด้วย นอกไปจากศรีภรรเมียเท่านั้น เพราะไม่ว่าจะเป็น “นางรอนนา แมคดาเนียล” (Ronna McDaniel) ประธานคณะกรรมการพรรครีพับลิกันแห่งชาติ วุฒิสมาชิก “ไมค์ ลี” (Mike Lee) แห่งรัฐยูทาห์ ที่เป็นผู้ประกาศตัวผู้ซึ่งประธานาธิบดีตัดสินใจเสนอชื่อให้เป็นศาลสูงคนใหม่ ซึ่งอาจต้องพ่นมา-พ่นไปกับ “ทรัมป์บ้า” ไม่ว่าทางหนึ่ง-ทางใด ก็ล้วนแต่ตรวจพบเชื้อ หรือผลตรวจออกมาเป็น “บวก” ไปแล้วด้วยกันทั้งสิ้น...
ข่าวการติดเชื้อของประธานาธิบดีอเมริกันเที่ยวนี้...ในสายตาคุณหมอ “Artur Caplan” แล้ว จึงแทบไม่ต่างไปจาก “สึนามิทางความรู้สึก” ต่อความนึกคิดของบรรดาอเมริกันชน เป็นตัวก่อให้เกิด “ทฤษฎีสมคบคิด” แพร่กระจายอย่างชนิดไฟไหม้ฟาง หรือ ประกายไฟไหม้ลามทุ่ง เรียกว่า...แม้แต่การปรากฏตัวของเครื่องบินทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ “E-6B” จำนวน 2 ลำที่ดันโผล่ขึ้นมาเหนือน่านฟ้าอเมริกาตะวันตกและตะวันออก ซึ่งถูกเรียกขานกันในนาม “Doomsday flights” หรือ “เที่ยวบินแห่งวันสิ้นยุค” อะไรทำนองนั้น ด้วยเหตุเพราะมีขีดความสามารถระดับ “ฆ่าคนทั้งโลกได้ภายในชั่วพริบตา” ยังหนีไม่พ้นต้องถูกผู้เชี่ยวชาญหรือนักสังเกตการณ์อย่าง “นายTim Hogan” นำมาผูกโยงกับช่วงจังหวะเดียวกันกับที่ประธานาธิบดีอเมริกันออกมาสารภาพว่าตัวเอง “ติดเชื้อ” เอาเลยถึงขั้นนั้น ชนิดโฆษกหน่วยงานทางยุทธศาสตร์อย่าง “US Strategic Command” หรือ “STRATCOM” ต้องออกมาแถลงชี้แจงอย่างเป็นทางการ ว่าเป็นการบินขึ้น-บินลงตามปกติตลอดช่วงเดือนที่ผ่านมา ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการคิดจะ “ส่งสัญญาณ” ข่มขู่ หรือป้องปราม ใครก็ตามที่เป็นปรปักษ์กับประเทศอเมริกาเอาไว้ก่อนล่วงหน้า...
อีกทั้งด้วยเหตุเพราะความแก่ ความชราของประธานาธิบดีอเมริกันอย่าง “ทรัมป์บ้า” ก็กลายเป็นตัวก่อให้เกิดการตั้งสมมติฐานไปต่างๆ นานา เพราะถ้าว่ากันตามตัวเลขสถิติงานวิจัยขององค์กรด้านสุขภาพอย่าง “CDC” จำนวนผู้ติดเชื้อ “COVID-19” ในอเมริกา ที่มีอายุอยู่ในระหว่าง 20-49 ปี ประมาณ 0.2 เปอร์เซ็นต์ มีอันต้องเด๊ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะ เท่งทึง ไปแล้วก่อนหน้านี้ ขณะที่ผู้ซึ่งมีอายุระหว่าง 50-69 ปี ตายไปแล้วจำนวน 0.5 เปอร์เซ็นต์ ส่วนผู้มีอายุระหว่าง 70 ปีขึ้นไป ตายไปแล้วถึง 5.4 เปอร์เซ็นต์ หรือมีสถิติการเด๊ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะ เท่งทึง สูงกว่าคนหนุ่ม-คนสาว ถึงประมาณ 5 เท่าเป็นอย่างน้อย ดังนั้น...ระดับอายุ 74 ปีกว่าๆ อย่าง “ทรัมป์บ้า” แถมยังมี “น้ำหนักตัว” ผิดปกติธรรมดาไปกว่าผู้กินน้อย ใช้น้อยโดยทั่วไป จะถึงขั้นต้องตายโหง ตายห่า หรือไม่ ประการใดก็ยังมิอาจสรุป หรือไม่อาจ “ฟันธง” ได้ง่ายๆ!!! ด้วยเหตุนี้...เลยต้องเกิดการลากยาวว์ว์ว์ไปถึงบทบาทของรองประธานาธิบดี อย่าง “นายไมค์ เพนซ์” ที่กำลังมีคิวต้องดีบ่ง ดีเบต กับ “นางกมลา แฮร์ริส” (Kamala Harris) ผู้สมัครชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีแห่งพรรคเดโมแครต ในช่วงวันที่ 7 ตุลาคมที่จะถึง หรือเกิดการพูดจาไปไกลถึง “นางแนนซี เพโลซี” (Nancy Pelosi) ประธานรัฐสภาโน่นเลย ที่มีสิทธิกลายมาเป็นประธานาธิบดี ถ้าหาก “นายไมค์ เพนซ์” ดันติดเชื้อไปอีกคน หรือดันหมดขีดความสามารถที่จะขึ้นเป็นประธานาธิบดีแทน “ทรัมป์บ้า” ซึ่งจะตายแหล่ มิตายแหล่ หรือไม่ อย่างไร ก็ยังมิอาจสรุปได้ ฯลฯ ฯลฯ...
และก็ย่อมแน่นอนนั่นแหละว่า...บรรดาชาวบ้าน ชาวช่อง หรือ “ชาวโลก” ย่อมหนีไม่พ้นต้องจับจ้อง มองเขม้น ไปถึงข่าวคราวดังกล่าวอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธ อาทิ “นายNi Feng” ผู้อำนวยการสถาบันอเมริกันศึกษา (Institute of American Studies of Chinese Academy of Social Sciences) ที่ออกจะมองโลกในแง่ดี คือมองว่านอกจากข่าวคราวดังกล่าวจะทำให้ประธานาธิบดีรายนี้กลายเป็น “จุดสนใจ” แบบเดี่ยวๆ โดดๆ แล้ว ยังช่วยให้ตัวเองสามารถกบดาลอยู่เงียบๆ โดยไม่ต้องแสดงปฏิกิริยาใดๆ ต่อสภาวะแวดล้อมรอบข้าง อันอาจส่งผลลบให้กับการช่วงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีมากบ้าง-น้อยบ้างตามสภาพ แถมถ้าสามารถเหลือรอดหรือหลุดรอดจากเงื้อมมือของ “COVID-19” แบบอยู่รอดปลอดภัย ยังถือเป็นการรับประกันการันตีถึง “สุขภาพ” ของคนแก่วัย 74 ปี ว่ายังพอไปไหว หรือยังน่าบริหารประเทศในอีก 4 ปีข้างหน้า ได้แบบชิวๆ สบายๆ เช่นเดียวกับ“นายMax Gorbachev” ผู้สื่อข่าว “รัสเซีย ทูเดย์” ที่ถึงกับมองว่าอาจถือเป็น “October Surprise” หรือเป็นจุดพลิกผัน แบบที่เคยส่งผลให้อดีตประธานาธิบดีอเมริกันหลายต่อหลายราย พลิกมาชนะคู่แข่งเอาเลยก็ไม่แน่!!!
แต่ไม่ว่าใครจะมองไปในแง่ไหนต่อแง่ไหนก็แล้วแต่...สิ่งที่น่าสนใจ หรือน่าเอามาเป็นอุทาหรณ์สอนใจได้มิใช่น้อย ก็น่าจะเป็นความคิด ความเห็น จากบทบรรณาธิการสื่อทางการของจีนอย่าง “Global Times” เมื่อช่วงวันที่ 29 ก.ย.ที่ผ่านมานั่นเอง ที่ให้ชื่อเอาไว้ว่า “Lessons from a million COVID-19 deaths” หรือบทเรียนจากการล้มตายกันเป็นล้านๆ เนื่องมาจากเชื้อไวรัสตัวนี้ ที่น่าจะเป็นตัวพิสูจน์ให้เห็นว่า “ศัตรูที่แท้จริง” ของมวลมนุษยชาติช่วงนี้ ไม่ได้อยู่ที่บรรดามนุษย์ด้วยกันเอง ไม่ว่าจะเป็นคนจีน คนรัสเซีย คนอิหร่าน ฯลฯ แต่อย่างใด เพราะจำนวนคนอเมริกันที่ตายไปกว่า 200,000 รายในทุกวันนี้ หรือมากกว่าจำนวนคนตายตลอดช่วงสงครามประมาณ 5 ครั้งรวมกัน ย่อมเป็นตัวชี้ชัดให้เห็นอยู่แล้วว่า บรรดาอเมริกันชนทั้งหลายมีแต่ต้องหันมา “ร่วมมือ-ร่วมใจ” กับทั่วทุกประเทศ ในการต่อสู้เพื่อเอาชนะเชื้อไวรัสตัวนี้เป็นอันดับแรก ไม่ควรไปชี้นิ้วกล่าวหา ด่าว่า ด่าทอประเทศหนึ่ง-ประเทศใด อย่างที่ผู้นำอเมริกัน พยายามกระทำการ ณ ที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ เมื่อช่วงวันพฤหัสฯ ที่ 24 ก.ย.ที่ผ่านมา จนแม้แต่เลขาธิการสหประชาชาติ “นายอันโตนิโอ กูเตอร์เรส” ยังอดมิได้ที่ต้องให้ข้อสรุปเอาไว้ว่า“การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 คือเครื่องทดสอบที่ชัดเจนที่สุด ต่อความร่วมมือของประชาคมโลก และผลทดสอบดังกล่าวได้ชี้ให้เห็นชัดเจนแล้วว่า...เราทั้งหลายล้วนแต่ประสบความล้มเหลว” นั่นแล...