xs
xsm
sm
md
lg

“ทรัมป์” เสี่ยงอาการแทรกซ้อนหลังติดโควิด-19 เหตุอายุมาก-น้ำหนักเกิน

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ประกาศผ่านทวิตเตอร์วันนี้ (2 ต.ค.) ว่าเขาและภรรยา ‘เมลาเนีย’ ติดเชื้อโควิด-19 และกำลังเข้าสู่กระบวนการกักตัว นับเป็นจุดพลิกผันสำคัญที่เกิดขึ้นในช่วงไม่กี่สัปดาห์สุดท้ายก่อนศึกเลือกตั้งผู้นำสหรัฐฯ

“เราจะเริ่มเข้าสู่กระบวนการกักตัวและการรักษาในทันที เราจะผ่านสิ่งนี้ไปด้วยกัน!” ทรัมป์ ทวีตข้อความเมื่อช่วงกลางดึกตามเวลาในสหรัฐฯ

ทรัมป์ วัย 74 ปี เข้าข่ายเสี่ยงที่อาจมีอาการแทรกซ้อนรุนแรงหากติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ทั้งด้วยปัจจัยด้านอายุและภาวะน้ำหนักตัวเกิน และแม้ผลตรวจร่างกายจะออกมาว่าเขามีสุขภาพแข็งแรงดีตลอดระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ แต่ก็ไม่เป็นที่ทราบชัดเจนว่าเขาออกกำลังสม่ำเสมอ หรือรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพหรือไม่

ข่าวการติดเชื้อของผู้นำสหรัฐฯ และสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งมีขึ้น หลังจากที่ ‘โฮป ฮิกส์’ ที่ปรึกษาสาวคนสนิทของทรัมป์ มีผลตรวจโควิด-19 เป็นบวกเมื่อวันพฤหัสบดี (1)

แม้ ทรัมป์ จะรับการตรวจโควิด-19 อยู่เป็นประจำ ทว่าในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาเขาได้ตระเวนเดินสายพบปะผู้สนับสนุนหลายหมื่นคนเพื่อเรียกคะแนนนิยมในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนศึกเลือกตั้ง 3 พ.ย. แม้จะมีคำเตือนจากแพทย์ให้หลีกเลี่ยงกิจกรรมรวมคนหมู่มากก็ตามที

เป็นที่รู้กันดีว่า ทรัมป์ นั้นต่อต้านการสวมหน้ากาก และยังวิพากษ์วิจารณ์คนที่สวมด้วย ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขยืนยันว่า การสวมหน้ากากอย่างแพร่หลายคือวิธีที่จะช่วยยับยั้งการแพร่กระจายของโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุดในตอนนี้

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบโดยตรงต่อแผนการหาเสียงของ ทรัมป์ ในช่วง 1 เดือนสุดท้าย โดยตารางกิจกรรมล่าสุดของผู้นำสหรัฐฯ ที่เผยแพร่โดยทำเนียบขาววันนี้ (2) ต้องตัดกำหนดการเดินทางเยือนรัฐฟลอริดาออกไป

ที่ผ่านมา ทรัมป์ ได้เดินทางไปปราศรัยต่อหน้าผู้สนับสนุนทั่วประเทศเพื่อกอบกู้คะแนนนิยมที่ยังคงตามหลัง โจ ไบเดน ผู้ท้าชิงประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครตในโพลระดับชาติ

ทรัมป์ ยังคงอวดอ้างว่ามาตรการรับมือโควิด-19 ของสหรัฐฯ นั้นมีประสิทธิภาพ แม้โรคระบาดใหญ่จะคร่าชีวิตชาวอเมริกันไปกว่า 200,000 คน และทำให้มีผู้ติดเชื้อกว่า 7.2 ล้านคนแล้วก็ตาม

ที่มา : รอยเตอร์



ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และ โฮป ฮิกส์ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารของทำเนียบขาว
กำลังโหลดความคิดเห็น