“สอดแนมการเมือง”
“ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย”
“ในท้ายที่สุด มันไม่ใช่ว่าคุณมีอายุอยู่ถึงกี่ปี แต่มันคือ คุณได้ใช้ชีวิต ‘อย่างมีความหมาย’ กี่ปี ในช่วงเวลาที่คุณมีชีวิตอยู่”
ชีวิตจะ “สั้น” หรือ “ยาว” แค่ไหน-ไม่รู้? ความสำคัญคือ “อยู่อย่างมีความหมาย” แบบไหนต่างหาก “อับราฮัม ลินคอล์น” ประธานาธิบดีคนที่ 16 ของสหรัฐฯ ได้มอบ “มรดกคำพูด” ไว้ให้คิดให้ค้นมากมาย..
“ไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ” เป็น “มนุษย์คุณภาพ” ยืนหยัด “อยู่อย่างมีความหมาย” จนวินาทีสุดท้ายของชีวิต!
โดย “จารย์โต้ง” ทุ่มทั้งชีวิต ทำงานมิติต่างๆเพื่อชาติและประชาชนเป็นหลัก ทว่ากลมกลืนไปกับการใช้ชีวิตส่วนตัว ซึ่งมี “อโณทัย จิตราวัฒน์ ”ผู้ภรรยา ที่ให้กำเนิดลูกสาวสองคน “ธิษะณา” และ “สิริจรรยา” มาเติมเต็มให้กับครอบครัว “ไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ”
ชีวิตส่วนรวมและส่วนตัว “จารย์โต้ง” จึงเป็น “มนุษย์คุณภาพ” ที่ความคิดกับการกระทำเต็มไปด้วยเสรีภาพ ที่บางครั้งบางเรื่องแตกต่างจาก “พ่อ” และ“แม่” ที่มาจากวงศ์ตระกูลสูงศักดิ์ในสังคมไทย แต่ “จารย์โต้ง-น้าชาติ-ท่านผู้หญิงบุญเรือน” ก็เห็นตรงกันในหลายหลากเรื่อง เกี่ยวกับผลประโยชน์ของชาติและประชาชน
ขอบอกไว้ ณ ที่นี้ว่า เรื่องราวชีวิตหลากมิติของ “จารย์โต้ง” โดยเฉพาะมิติทางการเมืองมีมากมหาศาล เกินกว่าใครจะเขียนจารนัยได้ครบถ้วน
หลังรัฐบาล “ชวน หลีกภัย” หมดอำนาจ การเลือกตั้งส่งผลให้ “บรรหาร ศิลปอาชา” ได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็น“นายกรัฐมนตรีคนที่ 21 ของชาติไทย” ในวันที่ 18 กรกฎาคม 2538
โดยมีพรรคชาติไทย พรรคความหวังใหม่ พรรคพลังธรรม พรรคประชากรไทย พรรคกิจสังคม พรรคนำไทย พรรคมวลชน เป็นพรรคร่วมรัฐบาล ส่วนพรรคของ “น้าชาติ” เป็นหนึ่งในพรรคฝ่ายค้านไปโดยปริยาย
ความสำเร็จในการเป็นรัฐบาลครั้งนั้น นอกจากความสามารถทางการเมืองของ “เติ้งเสี่ยวหาร” แล้ว ยังมี“ขุนพลหลายคน” ที่เป็นกำลังขับเคลื่อนให้กับ“นายกฯ บรรหาร” หนึ่งใน “ขุนพล” ผู้ประสานสิบทิศ ที่ “จารย์โต้ง” กับ“ผม” รู้จักสนิทสนม หนีไม่พ้นบุคลากรทรงคุณภาพ อย่าง “ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย” ที่หอบหิ้วลูกศิษย์อนาคตไกล “ดร.เอ-วีระศักดิ์ โค้วสุรัตน์”ไปเสริมเพิ่มพลังให้ “เติ้งเสี่ยวหาร”
ทำให้ “ดร.สุรเกียรติ์” ที่มากความสามารถ ได้รับการแต่งตั้งจาก “นายกฯ บรรหาร” ให้ดำรงตำแหน่งเป็นรมว.คลัง แต่ “ดร.สุรเกียรติ์” ก็เป็น “ขุนคลัง”ไม่นานเท่าที่ควร เพราะเกิดเห็นต่างมุมในเรื่องสำคัญกับ “เติ้งเสี่ยวหาร” จน “ดร.สุรเกียรติ์”ตัดสินใจ “ลาออก”
หลังจากรัฐบาล“บรรหาร” ถูกฝ่ายค้านเปิดฉากอภิปรายไม่ไว้วางใจอย่างหนัก พรรคร่วมรัฐบาลทั้ง พรรคความหวังใหม่ พรรคนำไทย พรรคมวลชน ได้แสดงท่าทีขอให้ “เติ้งเสี่ยวหาร” ลาออกจากตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี” ทันที
แต่ “เติ้งเสี่ยวหาร”กลับตัดสินใจ “ยุบสภา” ในวันที่ 27 กันยายน 2539 “รัฐนาวาเติ้งเสี่ยวหาร” จึงลอยเท้งเต้งอยู่ได้เพียง “1 ปี” กับ “71วัน” ก่อนจะอับปาง..
ทางการประกาศให้มีการเลือกตั้ง “ส.ส.” ในวันที่ 17 พฤศจิกายน 2539
หลังการเลือกตั้งครั้งนั้น “บิ๊กจิ๋ว-พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ” ได้รับการโปรดเกล้าฯให้ดำรงตำแหน่ง“นายกรัฐมนตรีคนที่ 22 ของชาติไทย” ในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2539
ในห้วงกำลังตั้ง “คณะรัฐมนตรี” อยู่นั้น แกนนำหลายคนในพรรค “ชาติพัฒนา” มีการเคลื่อนไหวติดต่อเข้าร่วมกับรัฐบาล “บิ๊กจิ๋ว” โดย “น้าชาติ”ได้แอบให้ “จารย์โต้ง” กับ “ผม” เป็นอีกสายที่ติดต่อเชื่อมประสาน กับ “พี่อ้น-ดร.โภคิน พลกุล” ซึ่ง “บิ๊กจิ๋ว”ส่งมาเจรจาพูดคุยกัน ณ โรงแรมแห่งหนึ่ง ใกล้ถนนบางนาตราดห้วงหลังเที่ยงคืน..
โดย “พี่อ้น” มาเจอ “จารย์โต้ง” กับ “ผม” เพื่อยืนยันว่า “บิ๊กจิ๋ว” เห็นด้วยกับการเชิญ “พรรคชาติพัฒนา” เข้าร่วมกับรัฐบาล “บิ๊กจิ๋ว” แทนพรรคชาติไทย โดยให้เลขาฯของทั้งสองพรรค ตกลงกันในรายละเอียดตำแหน่งรัฐมนตรี
“จารย์โต้ง” กับ “ผม” ยังได้นัดพบกับ “นายกฯ บิ๊กจิ๋ว” อีกครั้งหนึ่ง เพื่อเสนอให้ “น้าชาติ” เป็น “ที่ปรึกษา” ด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลนี้อีกด้วย ซึ่ง “นายกฯ บิ๊กจิ๋ว”ได้ตอบทันทีว่า
“บอกพี่ชาติได้เลยโต้ง..ว่าพี่จิ๋วโอเค..พี่เห็นด้วยร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม”
ครม.ชุดที่ 52 ของไทย ที่นำโดย “นายกฯ บิ๊กจิ๋ว” มี 6 พรรคเข้าร่วมรัฐบาล คือ ความหวังใหม่ ชาติพัฒนา กิจสังคม ประชากรไทย เสรีธรรม และมวลชน
ทว่า “ครม.จิ๋วหนึ่ง”อยู่ได้ไม่นาน วันที่ 21 มิถุนายน 2540 “อำนวย วีรวรรณ”ได้ลาออกจากตำแหน่งรองนายกฯและรมว.ก.คลัง โดย “ณรงค์ชัย อัครเศรณี” รมว.ก.พาณิชย์ ได้ลาออกตามไปด้วย
นั่นเป็นเหตุการณ์หลัง “บริษัทต่างชาติ” ได้เข้ามา “ทุบค่าเงินบาทไทย” จนร่วงผล็อย โดยทีมงานเศรษฐกิจของรัฐบาล “บิ๊กจิ๋ว” ได้ให้ “ผู้บริหาร” ธนาคารชาติ ใช้เงินทุนสำรองเข้าไปต่อสู้ขัดขวางอย่างเต็มที่
ทว่า “เงินบาท” ต้องพ่ายแพ้ ต่อ “เงินดอลลาร์มหาศาลของมะกัน” ทำให้บริษัทใหญ่น้อยของ “นักธุรกิจไทย” ต้องล้มระนาวไปกับ “วิกฤติเศรษฐกิจปี 40”
นักธุรกิจใหญ่บางคนอย่าง “สวัสดิ์ หอรุ่งเรือง” จู่ๆ ก็มีหนี้เพิ่มขึ้นหลายแสนล้านบาททันที จนเกิดอมตะวาจาอันลือลั่นนิรันดร์กาล จากปาก “ลูกหนี้ชื่อสวัสดิ์” ว่า “ไม่มี-ไม่หนี-ไม่จ่าย(โว้ย)!”
การประชุมครั้งนั้น ระหว่าง “นายกฯ บิ๊กจิ๋ว” กับ “น้าชาติ” ในฐานะที่ปรึกษาฯด้านเศรษฐกิจ “จารย์โต้ง” และ “ผม” มีโอกาสได้ร่วมอยู่ด้วย ได้มีการพูดคุยกันว่า “ใคร” ควรจะเป็น “ขุนคลัง” คนต่อไป ซึ่ง “นายกฯ บิ๊กจิ๋ว”ได้ให้ “จารย์โต้ง” กับ “ผม” ไปชวน “โอฬาร ไชยประวัติ” ผู้บริหาร ธ.ไทยพาณิชย์ ให้มาเป็น รมว. คลัง
เช้าวันรุ่งขึ้น “จารย์โต้ง” กับ “ผม” ได้ไปพบกับ “โอฬาร” ที่ ธ.ไทยพาณิชย์ แต่ได้รับการปฏิเสธจาก “โอฬาร” ด้วยเหตุผลความไม่พร้อมบางประการ
ต่อมา “มิสเตอร์พี” ซึ่งใกล้ชิดสนิทสนม กับ “นายกฯ บิ๊กจิ๋ว” และอดีตนายกฯ “น้าชาติ” ได้ขอให้“จารย์โต้ง” กับ “ผม” ช่วยผลักดันให้ “ทนง พิทยะ” เป็น “ขุนคลังคนใหม่” ซึ่ง “น้าชาติ” เห็นด้วย และ “นายกฯ บิ๊กจิ๋ว” ก็ยินดี
หลัง“ ทนง” รับตำแหน่ง “ขุนคลัง” ก็ได้ประกาศ “ลอยค่าเงินบาท” ทันที ทำให้นักธุรกิจใหญ่น้อยล้มระเนนระนาดไปหมด แต่กาลครั้งนั้นได้เกิดเรื่องเล่าขานกันว่า มี “มหาเศรษฐีรุ่นใหม่คนหนึ่ง”ร่ำรวยมหาศาลทันที เพราะมีเส้นสนกลในรู้ล่วงหน้าว่า จะมีการ “ลอยค่าเงินบาท”
กำไรมหาศาลจากซื้อขายค่าเงินในครั้งนั้น ทำให้ในเวลาต่อมา “มหาเศรษฐีคนนั้น”ไม่ต้องควักเงินของตนเองมาลงทุนธุรกิจการเมือง ส่งผลให้เส้นทางการเมืองของ “ใครบางคน” ก้าวกระโดดสู่ตำแหน่งใหญ่ที่สำคัญๆ มาโดยตลอด ในฐานะ“ผู้มีพระคุณอย่างสูง ”ต่อ “มหาเศรษฐี-คนที่เราก็รู้ว่าคือใคร”
หลังจากนั้น “มหาเศรษฐีคนนั้น”ได้ทุ่มเงินมหาศาล เข้ามาลงทุนในธุรกิจการเมือง จนทวีความร่ำรวยมากยิ่งขึ้น จากการใช้อำนาจรัฐโกงชาติอย่างมโหฬาร
ส่วนเส้นทางการเมืองของ “จารย์โต้ง” หลังเป็นที่ปรึกษาฯผู้ว่ากทม.“พิจิตต รัตตกุล” “จารย์โต้ง” ได้ตัดสินใจลงสมัครรับเลือกตั้งเพื่อเป็น “ส.ว.” โดย “จารย์โต้ง” เดินหน้าลงหาเสียง ในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมาชนิดมิรู้เหน็ดเหนื่อย
ชาวเมืองโคราชที่เคยเลือก “พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ” เป็น “ส.ส.” จน “น้าชาติ” ได้เป็น“นายกรัฐมนตรีคนที่ 17” ของชาติไทย ซึ่ง “น้าชาติ”ได้พัฒนาประเทศไทยในหลายหลากมิติ จนชาติเจริญรุ่งเรืองอย่างมากมาย ทั้งยังทำให้ประชาชนไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอีกด้วย ฯลฯ
ดังนั้น เมื่อ “ลูกชายคนเดียว” ของ “น้าชาติ” ตัดสินใจลงสมัครเป็น “ส.ว.” ของโคราช ทำให้ชาวเมือง“ย่าโม” ออกมาลงคะแนนให้ “จารย์โต้ง” อย่างล้นหลาม จน “จารย์โต้ง”ได้คะแนนเป็นอันดับหนึ่ง ด้วย 235,076 เสียงของชาวจังหวัดนครราชสีมา..
ก้าวแรกทางการเมือง “จารย์โต้ง”ได้รับความไว้วางใจจากลูกหลาน “ย่าโม” ให้เป็น “ส.ว.” เข้าไปทำงานให้ชาติกับประชาชน ใน “รัฐสภาไทย” อย่างสง่างาม..
..โปรดติดตาม“ตอนจบ”สัปดาห์หน้า..