“หนึ่งความคิด”
“สุรวิชช์ วีรวรรณ”
ไม่รู้เหมือนกันว่า ม็อบที่นำโดย เพนกวินและรุ้ง ในวันเสาร์ที่ 19 กันยายนจะจบลงอย่างไร และทั้งสองจะพาม็อบไปสู่จุดไหน แต่ก็ภาวนาว่า อย่าให้เกิดความรุนแรง อย่าให้มีมือที่สามเข้ามาสร้างสถานการณ์ และรัฐบาลจะจัดการกับม็อบด้วยวิธีที่ละมุนละม่อม
แน่นอนว่า การชุมนุมของทุกกลุ่มทุกครั้งล้วนแต่อ้างสิทธิในระบอบประชาธิปไตยที่เขียนไว้ในรัฐธรรมนูญ แต่สุดท้ายแล้วก็จะมีข้อจำกัดทางกฎหมายที่ทำให้แกนนำทุกกลุ่มมีคดีความติดตัวมานับตั้งแต่การขับไล่ระบอบทักษิณของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย การขับไล่รัฐบาลอภิสิทธิ์ของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ จนมาถึงการขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ของคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
เรียกได้ว่าต่างคนต่างทำหน้าที่ และดูเหมือนว่าภายหลังการชุมนุมทุกกลุ่มทุกคนก็ยอมรับกระบวนการยุติธรรมเดินขึ้นโรงขึ้นศาลสู้คดีกันไปไม่มีใครโอดครวญว่า ถูกอำนาจรัฐคุกคามหรือรังแก
แน่นอนว่าสุดท้ายแล้วทั้งเพนกวิน รุ้งและแกนนำคนอื่นก็จะมีคดีความติดตัวแบบรุ่นพี่ๆ ทั้งหลาย
ดูจากคำประกาศอย่างอหังการและการแสดงออกที่ผ่านมาของเพนกวินและรุ้งแล้ว ดูเหมือนว่า ทั้งสองไม่ได้มีจุดมุ่งหมายที่การเรียกร้อง 3 ข้อของกลุ่มประชาชนปลดแอกคือ หยุดคุกคาม แก้รัฐธรรมนูญ ยุบสภา แต่ชัดเจนว่ามีจุดมุ่งหมายในการลดทอนบทบาทและสถานะของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่สืบทอดแนวคิดมาจากสมศักดิ์ เจียมธีรสกุลที่ลี้ภัยอยู่ในต่างประเทศ
แน่นอนว่า การแสดงออกนั้นหมิ่นเหม่ต่อการกระทำความผิดตามกฎหมายอาญามาตรา 112 แต่เป็นโชคดีของเพนกวินและรุ้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีรับสั่งต่อเจ้าหน้าที่รัฐไม่ให้ใช้กฎหมายมาตราดังกล่าว แต่อย่าไปโอดครวญที่ถูกดำเนินคดีในมาตรา 116 เลยครับ เพราะแกนนำม็อบรุ่นพี่ก็ต่างๆ โดยกล่าวหาด้วยมาตรานี้ทั้งนั้น
แนวคิดของ สมศักดิ์ เจียม ที่ถ่ายทอดผ่านปากของเพนกวินและรุ้งนั้น ถ้าใครติดตามเขาจะเห็นว่า เขาพยายามจะเสนอแนวความคิดนี้ให้กับนักการเมืองฝ่ายที่อ้างตัวว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตยมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และปิยบุตร แสงกนกกุล แต่ทั้งสองก็เจนจัดพอที่จะเห็นว่า การแสดงความเห็นดังกล่าวเป็นความสุ่มเสี่ยงทางกฎหมาย แต่ทั้งเพนกวินและรุ้งไม่ได้ยี่หระหรือคิดไปไกลอย่างนั้น
ความฝันของสมศักดิ์ เจียม จึงสมหวังด้วยการเดิมพันชีวิตของเพนกวินและรุ้งในขณะที่ตัวเองอยู่สบายในปารีส อาจจะบอกว่า ไม่สบายเพราะป่วยไข้ แต่ก็สบายนั่นแหละเพราะไม่ได้เอาชีวิตของตัวเองเป็นเดิมพัน
อย่างไรก็ตามโชคดีของเพนกวินและรุ้งที่สังคมไทยเลือกที่จะใช้มาตรการทางกฎหมายมาเป็นเครื่องมือ
แต่ไม่ว่าม็อบที่นำโดยเพนกวินและรุ้งจะมีที่มาอย่างไรก็รู้กันทั่วว่า การเคลื่อนไหวของทั้งสองนั้นแม้จะพุ่งเป้าไปที่รัฐบาลแต่รู้ว่ามีจุดมุ่งหมายจริงอยู่ที่สถาบัน และว่าไปแล้วความเคลื่อนไหวของทั้งสองก็มีจุดมุ่งหมายเพื่อกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองนั่นเอง พูดโดยไม่กลัวผิดพลาดเลยว่า ทั้งสองมีความนิยมในพรรคอนาคตใหม่ของธนาธรและปิยบุตร และเพนกวินก็เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งพรรค
พรรคอนาคตใหม่ที่วันนี้เปลี่ยนเป็นพรรคก้าวไกลเป็นแนวร่วมกับพรรคเพื่อไทยของทักษิณ ซึ่งเป็นชนวนความขัดแย้งของสังคมไทยตั้งแต่ตอนที่เพนกวินและรุ้งยังแบเบาะผมไม่คิดว่าทั้งเพนกวินและรุ้งไม่รู้ว่า ความขัดแย้งในสังคมไทยเริ่มจากอะไร เพราะทั้งสองเป็นเด็กที่สนใจการเมือง แต่การเลือกข้างทางการเมืองทำให้เขาเลือกที่จะยืนอยู่ฝั่งนี้
เพนกวินและรุ้งอาจไม่สนใจว่า ทักษิณได้ใช้อำนาจอย่างฉ้อฉลอย่างไร หรือยิ่งลักษณ์ใช้เสียงข้างมากเพื่อบิดเบือนกระบวนการยุติธรรมอย่างไร เขาสนใจแค่ว่า เพราะทักษิณและยิ่งลักษณ์มาจากการเลือกตั้ง แต่อำนาจที่ล้มทักษิณและยิ่งลักษณ์นั้นมาจากปากกระบอกปืนที่เขาถูกปลูกฝังว่า เป็นเผด็จการ แม้ว่าเผด็จการไทยจะเป็นเผด็จการที่หน่อมแน้มก็ตาม
ผมเชื่อว่า คนชั้นกลางจำนวนมากที่ต่อต้านระบอบทักษิณนั้นอาจจะเป็นพ่อแม่ของคนหนุ่มสาวที่ออกเคลื่อนไหวในวันนี้ แต่แม้พ่อแม่จะยืนอยู่ฝั่งที่เทิดทูนสถาบันมาก่อน ไม่ว่าอย่างไรก็ตามผมก็เชื่อว่าในวันนี้ทุกคนก็ต้องเลือกยืนอยู่ข้างลูกหลานของตัวเองนั่นแหละ จะมีพ่อแม่สักกี่คนที่สามารถอธิบายให้ลูกของตัวเองเข้าใจว่า คนรุ่นพ่อแม่ที่ลูกเรียกด้วยความเหยียมหยามว่าเป็น “สลิ่ม” นั้น ทำไมเขาต้องออกมาต่อสู้กับระบอบทักษิณในวันนั้น
ใครจะอธิบายได้ว่า แม้ระบอบทักษิณจะมาจากการเลือกตั้งก็จริง แต่เมื่อใช้อำนาจอย่างฉ้อฉลประชาชนก็มีสิทธิที่จะลุกขึ้นมาขับไล่ มีใครบอกลูกได้ว่า เหตุผลสำคัญที่ทหารอ้างเข้ามารัฐประหารนั่นเพราะมีการเอาอาวุธสงครามมายิงใส่ผู้ชุมนุม ใครจะบอกลูกว่า ความชอบธรรมต้องมาคู่กับกับใช้อำนาจอย่างชอบธรรมไม่ใช่เพียงมีที่มาจากการเลือกตั้ง
การแบกรับเอาความแค้นของสมศักดิ์ เจียมต่อสถาบันมาไว้ที่ตัวเองของเพนกวินและรุ้งนั้น ต้องคิดว่าให้ได้ว่าความแค้นของสมศักดิ์มาจากอะไร ในยุค 6 ตุลานั้นมีการแทรกซึมของคอมมิวนิสต์เพื่อความมุ่งหวังที่จะเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองให้เป็นคอมมิวนิสต์นั่นหมายถึงการโค่นล้มสถาบันพระมหากษัตริย์ ถามว่าด้วยเหตุและผลแล้วมีใครบ้างที่จะนิ่งดูดายให้สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้น เมื่อมีคนจำนวนมากยังยึดมั่นศรัทธา และมีใครบ้างที่จะไม่ปกป้องภัยที่มาถึงตัว
เพนกวินและรุ้งมีสิทธิเต็มเปี่ยมที่จะเชื่อมั่นและศรัทธาในระบอบที่ตัวเองชื่นชอบไม่นิยมสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่อะไรที่เรารักและศรัทธาเราก็ไม่ยอมให้คนอื่นมาเปลี่ยนความคิดและอุดมการณ์ของเราเช่นกันใช่ไหมดังนั้นคนอื่นเขาก็ไม่ยอมให้เพนกวินและรุ้งทำลายความรักและศรัทธาของเขาเช่นกัน
เพนกวินและรุ้งอาจเชื่อแนวคิดของคณะราษฎร โดยไม่ได้สนใจว่า เบื้องหลังของคณะราษฎรก็คือผลประโยชน์ของคณะบุคคลที่สุดท้ายก็แย่งชิงอำนาจเสียเอง เราได้สิ่งที่เรียกว่าคณาธิปไตยไม่ใช่ประชาธิปไตยและเมื่อปรีดี พนมยงค์ต่อสู้กับจอมพล ป.ที่กลายเป็นจอมเผด็จการแบบมุสโสลินี ปรีดีต้องมาเป็นมิตรกับฝ่ายนิยมเจ้า
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลงในปี 2484 ปรีดีกลับมาเป็นใหญ่อีกครั้งแต่อำนาจของทหารก็ยังเข้มแข็งจนปรีดีต้องจับมือกับฝ่ายนิยมเจ้าทั้งที่เป็นผู้ซึ่งต่อต้านระบบเจ้าเมื่อการรัฐประหาร2475 โดยเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงแผ้วถางทางให้กลุ่มนิยมเจ้าหวนคืนกลับสู่ถิ่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากถูกผลักดันออกจากคณะรัฐมนตรีโดยได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์นายปรีดีมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพระราชวงศ์โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีเพราะต้องการถ่วงดุลอำนาจกับจอมพล ป.และกองทัพ
นั่นแสดงว่า ปรีดีไม่ได้เป็นปฏิปักษ์กับฝ่ายเจ้าแบบยึดมั่นถือมั่น แต่เปลี่ยนแปลงไปตามเงื่อนไขของผลประโยชน์นั่นเอง
แต่ถ้าถามว่า ผมโทษใครที่ทำให้บ้านเมืองมาถึงวันนี้ ผมโทษ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาครับ
ผมพูดมาตลอดว่า ผมเข้าใจเหตุผลที่ พล.อ.ประยุทธ์ต้องนำทหารมายึดอำนาจแล้วฉีกรัฐธรรมนูญทิ้ง เพราะบ้านเมืองในขณะนั้นเดินมาถึงทางตัน กำลังกลายเป็นมิคสัญญี แต่ พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชนว่าจะอยู่ไม่นานจะปฏิรูปประเทศเพื่อให้สังคมไทยกลับไปสู่ความปรองดองสมานฉันท์และสุดท้ายพล.อ.ประยุทธ์กลับเป็นตัวสร้างความขัดแย้งเสียเอง
พล.อ.ประยุทธ์ทำให้ฝ่ายตรงข้ามที่เป็นปฏิปักษ์ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์หยิบฉวยสถานการณ์ที่ พล.อ.ประยุทธ์ทำให้เกิดขึ้นมาเป็นเครื่องมือในการพยายามลดทอนบทบาทและสถานะของสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะสร้างเส้นทางเข้าสู่อำนาจที่ไม่เป็นธรรม และเพราะพวกเขาเชื่อว่าอำนาจของพล.อ.ประยุทธ์นั่นยึดโยงอยู่กับสถาบัน ไม่ว่าความเชื่อนั้นจะถูกต้องหรือไม่ก็ตาม
ถ้าย้อนไปหลังวันรัฐประหาร เมื่อเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีที่มีอำนาจแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแล้ว หากมีสติปัญญาสักนิดและมีวิสัยทัศน์จะนำพาประเทศออกจากความขัดแย้ง ก็ควรจะหาทางที่จะคลี่คลายสิ่งที่เป็นปัญหาของบ้านเมือง สิ่งที่ทำให้ประเทศอยู่ในวิกฤตของความขัดแย้ง แต่น่าเสียดายสิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ทำกลับเป็นการกระชับอำนาจและออกแบบให้ตัวเองกลับเข้าสู่อำนาจหลังการเลือกตั้งด้วยการเขียนรัฐธรรมนูญที่เอาเปรียบพรรคการเมืองอื่น
แล้ววันนี้ พล.อ.ประยุทธ์คงเห็นแล้วอำนาจที่ได้มาด้วยความไม่ชอบธรรมนั้นมันไม่สามารถทำให้เรายืนหยัดอยู่ได้อย่างสง่างาม สิ่งที่ผู้ชุมนุมเอามาพูดมาคัดค้านบนเวทีล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องจริงทั้งสิ้น แม้จะมาจากการเลือกตั้งที่เสกสรรขึ้นแต่ถามว่า ใครบอกว่า รัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลประชาธิปไตยไหม แล้วอำนาจอยู่ในมือประชาชนไหมไม่เลย มันกลายเป็นอำนาจที่อยู่ในมือของสามพี่น้อง 3 ป.เท่านั้นเอง
อำนาจรัฐกลายเป็นอำนาจแบบรัฐซ้อนรัฐกลายเป็น deep state ที่ดำมืดยิ่งกว่าเก่า
ไม่รู้เหมือนกันว่ารัฐบาลประยุทธ์จะรับมือกับสถานการณ์การชุมนุมอย่างไรและวิเคราะห์ว่าหนักเบาแค่ไหน แต่เห็นแล้วว่า ปัญหาทางการเมืองที่แม้เราจะขัดแย้งกันมาเป็นสิบปีก็ตามเป็นความขัดแย้งในฝักฝ่ายทางการเมือง แม้อาจจะมีฝ่ายต่อต้านสถาบันแฝงตัวอยู่บ้าง แต่วันนี้ได้พัฒนาเป็นความขัดแย้งเชิงระบอบและรูปแบบการปกครองและมีพวกต่อต้านสถาบันปรากฏตัวอย่างเปิดเผย
แม้ว่าเพนกวินและรุ้งจะถูกปลูกฝังด้วยความเชื่อใดก็ตาม แม้ว่าทั้งสองจะกลายเป็นเครื่องมือของฝั่งตรงข้ามทางการเมืองของรัฐบาลที่ต้องการแย่งชิงอำนาจก็ตาม แต่รัฐบาลประยุทธ์ต้องตระหนักให้ได้ว่า มีช่องทางไหนที่จะเอาประเทศออกจากความขัดแย้ง
ผมไม่เชื่อว่า อำนาจที่เหนือกว่า การอิงแอบกับกองทัพจะเป็นทางออกที่ทำให้บ้านเมืองสงบได้ แต่ผมเชื่อเรื่องกติกาที่เป็นธรรมนั่นต่างหากที่จะพาประเทศกลับมาสู่สันติ
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan