นายไชย์พล วิภา แห่งบ้านกกกอก ต.กกตูม อ.ดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร ลุยเขยของน้องชมพู่ที่เสียชีวิตอย่างปริศนามากว่า 4 เดือน และเคยถูกสอบสวนในฐานะผู้ต้องสงสัยที่อาจเกี่ยวข้องกับคดี วันนี้กลายเป็นคนดังที่อนาคตสดใส มีงานรอคิวโชว์ตัวอยู่มากมาย
แตกต่างจากช่างภาพและนักข่าวที่สร้างวีรกรรม โดยประกาศลาออกจากทีวีช่องดัง เพื่อแสดงเจตนารมณ์ของสื่อมวลชนที่มีอุดมการณ์ และยึดมั่นในจริยธรรมจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพ ซึ่งกำลังถูกสังคมลืม
สื่อมวลชนช่องทีวีดังทั้งสองคน เกาะติดนำเสนอข่าวคดีน้องชมพู่มา 4 เดือน แต่รู้สึกผิดในการนำเสนอข่าว จึงออกมาขอโทษกับความเน่าเฟะกรณีลุงพล-ป้าแต๋น และบ้านกกกอก ซึ่งเกิดจากน้ำมือของสื่อมวลชนอย่างพวกเราที่หยิบยื่นให้สังคม จนวันนี้ไม่อาจทนกับเรื่องที่เกิดขึ้นได้
ช่างภาพที่ตัดสินใจยุติบทบาทตัวเองจากทีวีช่องดัง ระบายความในใจว่า ตัวเองเป็นหนึ่งในสื่อมวลชนที่มีส่วนทำให้คดีความ 1 คดี กลายเป็นเรียลลิตี้ชีวิตของลุงพล-ป้าแต๋น หรือนางสมพร วิภา ภรรยา เรียลลิตี้ความแตกแยกของครอบครัวๆ หนึ่ง ชีวิตคนในบ้านกกกอก เรื่องไสยศาสตร์ ความงมงาย และการมอมเมา
“เราไม่สนผิดถูก เราไร้จรรยาบรรณ” คือสิ่งที่สังคมตั้งคำถาม และมันถูกต้องทั้งหมด เรานำเสนอเรื่องราวที่ห่างไกลจากสิ่งที่ควรจะเป็นจนกู่ไม่กลับ หาประโยชน์และปล่อยให้กลุ่มคนที่ต้องการผลประโยชน์เข้ามารุมทึ้ง
“เราอยากได้กระแส และต้องการเพียงยอดคนดู ยอดกดไลก์กดแชร์”
นักข่าวและช่างภาพทั้งคู่ หันหลังให้ทีวีช่องดัง เพราะทนไม่ได้กับการนำเสนอข่าว ที่มุ่งแต่การสร้างเรตติ้ง เพื่อประโยชน์รายได้ด้านโฆษณา
การปลุกเร้าคนดู นำสังคมสู่การมอมเมาความเชื่อด้านไสยศาสตร์ และจุดกระแสลุงพลขึ้นมา จนกลายเป็นดาราที่กลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ ฉวยโอกาสเข้ามาโหนกระแส เชิดลุงพลขึ้นมาเป็นจุดขาย จนหาคำตอบไม่ได้ว่า สังคมเดินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร
และการเสียชีวิตอย่างปริศนาของน้องชมพู่ ทำให้ลุงพล-ป้าแต๋น กลายเป็นฮีโร่ได้อย่างไร
คดีน้องชมพู่ ถ้าจะมีฮีโร่ จะต้องยกให้กับนักข่าวและช่างภาพทีวีช่องดัง ซึ่งมีสำนึกในความรับผิดชอบการทำหน้าที่สื่อมวลชน ตระหนักถึงการนำเสนอที่อาจเลยกรอบของจริยธรรมจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพ
ขณะที่สื่อส่วนใหญ่ในปัจจุบัน มุ่งเพียงเป้าหมายเรียกคนดูมากๆ สร้างเรตติ้งสูงๆ โดยไม่ตระหนักถึงการมอมเมาความเชื่อผิดๆ ให้กับสังคม
ทั้งนักข่าวและช่างภาพทีวีช่องดังที่ยุติบทบาทตัวเอง แม้จะทำงานวิชาชีพสื่อมวลชนมาหลายปี แต่สำหรับวงการสื่อ ถือเป็นสื่อมวลชนคนรุ่นใหม่ และไม่น่าจะมีจุดยืนที่แข็งแกร่ง ยึดมั่นในจริยธรรมจรรยาบรรณสื่อมวลชนเคร่งครัด
แต่นักข่าวและช่างภาพทั้งสองคน กำลังทำให้สื่อมวลชนรุ่นพี่ได้อาย จากการยืนหยัดในอุดมการณ์แห่งวิชาชีพสื่อ พร้อมเสียสละตัวเอง เพื่อดำรงไว้ซึ่งหลักการในวิชาชีพสื่อ แม้อนาคตตัวเองต้องดับวูบลง และอาจไม่มีที่ยืนในวิชาชีพสื่อมวลชนอีก
สื่อมวลชนรุ่นใหม่ทั้งสองคน จะทำเป็นไม่รับรู้กับการนำเสนอข่าวที่มุ่งเป้าการสร้างเรตติ้ง โดยหากินกับสังคมที่ป่วยไข้ในทางปัญหา เสพข่าวอย่างไร้สติ หลงใหลไปกับนักเล่าข่าวที่เก่งในการปลุกเร้าอารมณ์คนดูหรือมอมเมาสังคม มากกว่าการนำเสนอเพื่อให้ความรู้หรือให้สติประเทืองปัญญาคนดู
สื่อส่วนใหญ่ก็มุ่งแต่การสร้างเรตติ้ง เพื่อกอบโกยรายได้ กลายเป็นสื่อพาณิชย์ โดยไม่คำนึงถึงจริยธรรมจรรยาบรรณ และไม่ตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อสังคมกันแต่อย่างใด
แต่เพราะความสำนึกในจริยธรรมจรรยาบรรณ จึงทำให้สื่อรุ่นใหม่ทั้งสองคน ไม่อาจทนต่อแรงกดดันของตัวเองได้
สื่อที่ยึดมั่นในจริยธรรมจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพ ดูเหมือนว่า จะหายสาบสูญไปนานแล้ว แม้แต่องค์กรวิชาชีพสื่อ แทบไม่ได้หยิบยกปัญหาด้านจริยธรรมจรรยาบรรณมาถกกันมากนัก แม้ว่าจะมีสื่อที่หลากหลายและซับซ้อน มุ่งในเชิงพาณิชย์ และมีพฤติกรรมการนำเสนอที่ข้ามเส้นจริยธรรมมากขึ้น
นักข่าวและช่างภาพทีวีช่องดังที่เกาะติดการเสนอข่าวคดีน้องชมพู่ ควรได้รับการประกาศเกียรติคุณจากองค์กรวิชาชีพสื่อ เพราะถือเป็นสื่อแห่งความภาคภูมิใจของเพื่อนร่วมวิชาชีพ เป็นผู้ปลุกจิตวิญญาณวิชาชีพสื่อมวลชนขึ้นมาอีกครั้ง แต่การเสียสละ เพื่อดำรงไว้ซึ่งจุดยืนแห่งวิชาชีพของสื่อทั้งสองคนกำลังเป็นวีรกรรมที่สูญเปล่า
ข่าวลุงพล-ป้าแต๋น คงถูกนำเสนอต่อไป เพราะเป็นข่าวที่ขายได้ อยู่ในความสนใจของสังคมที่ป่วยไข้ทางความคิด และกลุ่มผลประโยชน์ก็พร้อมจะฉวยโอกาสโหนกระแสลุงพล-ป้าแต๋นหากิน
ทั้งที่ลุงพล ไม่ใช่ฮีโร่คดีน้องชมพู่
ชะตากรรมของนักข่าวที่ยึดมั่นในอุดมการณ์ทีวีช่องดังทั้งสองคน คงไม่มีใครกล่าวถึง ไม่เป็นที่สนใจของสังคม ทั้งที่เป็นฮีโร่ตัวจริงในคดีน้องชมพู่ และเป็นสื่อมวลชนที่ควรแก่การยกย่องสรรเสริญ
แต่เพราะสังคมหลงกระแส สื่อมวลชนดีๆ จึงไม่มีที่ยืน ลุงพลกลับเป็นคนดัง จนเกิดคำถามว่า
คดีน้องชมพู่เดินมาถึงวันนี้ได้อย่างไร นำสังคมสู่กระแสคลั่งไคล้ลุงพลได้อย่างไร เพราะสื่อที่แย่งชิงการสร้างเรตติ้ง จนเดินข้ามกรอบจริยธรรมจรรยาบรรณหรือไม่