หัวหน้าช่างภาพสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่ง สุดทนประกาศลาออก หลังทนไม่ได้ปมเสนอข่าว ลุงพล-ป้าแต๋น ต่อเนื่องนานหลายเดือน พร้อมขอโทษความเน่าเฟะ จากน้ำมือของ “สื่อมวลชนอย่างพวกเรา” ที่หยิบยื่นให้กับสังคม
จากกรณีการเสียชีวิตปริศนาของ “น้องชมพู่” อายุ 3 ขวบ เหตุเกิดบนภูเหล็กไฟ แห่งบ้านกกกอก ตำบลกกตูม อำเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร โดยมี ลุงพล ไชยพล ลุงของน้องชมพู่ ตกเป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัย และได้ออกมาเรียกร้องความยุติธรรมให้น้อง เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นนานถึง 100 กว่าวัน คดียังไม่มีความคืบหน้าใดๆ ทั้งสิ้น จึงทำให้หลายคนเห็นใจและสนใจในเรื่องราวของลุงพลอยู่ตลอดเวลา
จากนั้น ลุงพลก็ได้รับเชิญไปร่วมร้องเพลง “เต่างอย” เวอร์ชันใหม่คู่กับนักร้องลูกทุ่งหมอลำชื่อดัง “จินตหรา พูนลาภ” หลังจากเพลงได้ปล่อยลงในยูทูปขึ้นเทรนด์อันดับ 1 ที่มาแรงของยูทูป นอกจากนี้ “ลุงพล” และ “ป้าแต๋น” สองสามีภรรยาเซเลบแห่งบ้านกกกอก มาปรากฏตัวเดินแบบในงาน แฟชั่นโชว์การกุศล โดยมีแฟนคลับแห่มาร่วมงานอย่างมากมาย และติดต่อพรีเซ็นเตอร์สินค้าอีกจำนวนมาก ทั้งนี้ เรื่องราวที่เกิดขึ้น มีทั้งฝั่งที่ชื่นชอบลุงพล ส่วนอีกฝั่งกลับมองว่าลุงพลยังตกเป็นผู้ต้องสงสัยในการฆ่าน้องชมพู่ และเอาคนตายมาหากิน จากผู้ต้องสงสัยในคดี กลายเป็นเซเลบเงินล้าน
ต่อมา มีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง ซึ่งเป็นหัวหน้าช่างภาพสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่ง ได้โพสต์ข้อความระบายผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวเกี่ยวกับการนำเสนอข่าว ลุงพล ของ น้องชมพู่ หรือ นายไชย์พล วิภา ซึ่งกำลังถูกพูดถึงอย่างมากในโซเชียลมีเดีย โดยระบุว่า “ขอโทษกับความเน่าเฟะกรณีลุงพล ป้าแต๋น และบ้านกกกอก จากน้ำมือของ “สื่อมวลชนอย่างพวกเรา” ที่หยิบยื่นให้กับสังคม ตลอด 4 เดือนที่ผ่านมา ผมทำหน้าที่เป็นหัวหน้าช่างภาพข่าวของหนึ่งในสถานีโทรทัศน์ที่นำเสนอข่าวนี้มาโดยตลอด ผมทำงานที่นี่มา 6 ปี ตั้งแต่วันแรกของการออกอากาศ จนวันนี้ไม่สามารถอดทนกับเรื่องที่เกิดขึ้นและได้ตัดสินใจเดินออกมาแล้ว
จากคดีการเสียชีวิตของน้องชมพู่ ที่ถูกนำเสนอโดยสื่อมวลชนกลุ่มหนึ่ง และ “ผมคือหนึ่งในนั้น” ที่มีส่วนทำให้คดีความ 1 คดี กลายเป็นเรียลิตี้ชีวิตของลุงพล-ป๋าแต๋น เรียลิตี้ความแตกแยกของครอบครัวๆ หนึ่ง ชีวิตคนในหมู่บ้านกกกอก เรื่องไสยศาสตร์ ความงมงาย และการมอมเมา “เราขายข่าวรายวัน” “เราหน้าไม่อาย” “เราไม่สนผิดถูก” “เราไร้จรรยาบรรณ” คือ สิ่งที่สังคมตั้งคำถาม และมันถูกต้องทั้งหมด
เรานำเสนอเรื่องราวที่ห่างไกลจากสิ่งที่ควรจะเป็นจนกู่ไม่กลับ หาประโยชน์และปล่อยให้กลุ่มคนที่ต้องการผลประโยชน์จากเรื่องนี้เข้ามารุมทึ้ง “เราอยากได้กระแส และต้องการเพียงแค่ยอดคนดู ยอดกดไลก์ ยอดแชร์” บางคนแก้ต่างว่าสิ่งที่เกิดขึ้น สื่ออย่างพวกผม ทำไปเพื่อตอบสนองความกระหายใคร่รู้ของคนในสังคม หรือช่วยเหลือให้ชาวบ้าน 2 คน ได้มีชีวิตที่ดีขึ้น มันไม่ใช่แค่สิ่งนั้นแน่นอน มันคือผลประโยชน์ทั้งนั้น
ยอมรับกันสักทีเถอะว่า “เรา” คือตัวแปรสำคัญและเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดความบิดเบี้ยวทั้งหมดนี้ เพราะเราหิวกระหายเรตติ้งกันเหลือเกิน
“เรตติ้ง” คือทุกสิ่งทุกอย่าง
“เรตติ้ง” คือปัจจัยที่จะบอกได้ว่าคุณอยู่หรือไป
และ “เรตติ้ง” ก็กลายเป็นข้ออ้าง ที่ทำให้คนบางกลุ่มยอมทำทุกอย่าง เพื่อให้ได้มา
ผมเป็นหนึ่งคนที่รับรู้เรื่องราว ที่ถูกสร้าง ปั้นแต่ง และถูกนำเสนอผ่านหน้าจอมาโดยตลอด และตั้งคำถามกับตัวเองเสมอว่า “พวกเราทำอะไรกันอยู่” “มันไม่ใช่ปรากฏการณ์ ไม่ใช่ความแปลกใหม่ ไม่ใช่ห่าอะไรทั้งสิ้น”
วันนี้ ผมซึ่งระลึกเสมอว่าตัวเองเป็นหนึ่งในฟันเฟืองที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ และพยายามจะแก้ไขอะไรบ้าง แต่สุดท้าย “ผมขอยอมแพ้กับความบิดเบี้ยว และยอมรับว่า ตัวเองไม่สามารถท้วงติง หรือเปลี่ยนแปลงอะไรที่เกิดขึ้นจากต้นทางได้”
ทุกอย่างยังดำเนินต่อไป ด้วยเหตุผลที่สรรหากันมา
ผมขอโทษกับสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด และหวังว่า เมื่อเหตุการณ์จบลง ทั้งเราและคนดูบางกลุ่มน่าจะได้บทเรียนจากเรื่องนี้บ้าง และขออย่าเหมารวมว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคือภาพทั้งหมดของ “สื่อมวลชน” ผมยืนยันว่า ในสภาวะที่มีปัจจัยหลายอย่างที่ต้องเผชิญ วันนี้ยังคงมีเพื่อนสื่อมวลชน ที่พยายามทำหน้าที่ของตัวเอง ทำหน้าที่ของสื่ออย่างที่ควรจะเป็นให้ได้ดีที่สุด ผมขอบคุณและขอให้กำลังใจเพื่อนสื่อมวลชนที่ยังยืนหยัดทำหน้าที่อย่างถูกต้องต่อไป"