อีกแค่ไม่ถึง 2 เดือน...ก็จะได้เวลาที่บรรดาอเมริกันชนทั้งหลายจะได้ “เขย่าประชาธิปไตยภายในอุ้งมือของท่าน” หรือได้มีโอกาสหย่อนบัตรเลือกตั้งผู้นำอเมริกา ไม่ว่าทางไปรษณีย์ หรือภายในคูหาเลือกตั้งใดๆ ก็แล้วแต่ ดังนั้น...เปิดฉากสัปดาห์นี้ คงต้องลองแวะๆ เวียนๆ ไปดูความคืบหน้าการเมืองในประเทศ “ประชาธิปไตยฉบับของแท้และดั้งเดิม” อีกสักรอบ เพราะนอกเหนือไปจากการเปลี่ยนแปลง-ไม่เปลี่ยนแปลง ของการเมืองระดับโลก จะถูก “ผูกติด” ไว้กับผลแพ้-ผลชนะ ของการเลือกตั้งคราวนี้ บางสิ่ง บางอย่าง ยังสามารถนำมาเป็น “อุทาหรณ์-สอนใจ” ให้กับบรรดา “นักประชาธิปไตย” ในบ้านเรา ที่กำลังกระเหี้ยนกระหือรือ อยากจะเป็นประชาธิปไตยแบบเต็มสูบ เต็มด้าม ซะเหลือเกิน!!!
คืออย่างที่พอรู้ๆ กันไปแล้วนั่นแหละว่า...โอกาสที่ผู้นำอเมริกาคนปัจจุบัน อย่าง “ทรัมป์บ้า” จะผงาดกลับมาเป็นประธานาธิบดีอีกรอบนั้น น่าจะค่อนข้าง “เลือนราง” ลงไปเรื่อยๆ คะแนนนิยมยังทิ้งห่างจากคู่แข่ง คู่ชิงพรรคเดโมแครต อย่าง “โจวิตถาร” หรือ “โจซึมเซา” ประมาณ 4-5 ช่วงตัวเป็นอย่างน้อย ยิ่งโดน “สาดสากกะเบือบิน” เข้าใส่ หาว่าไปพูดจาดูหมิ่นทหาร ว่าเป็นพวก “ไอ้ขี้แพ้” หรือ “ไอ้ห่วยแตก” อะไรทำนองนั้น ยิ่งทำให้โอกาสตีตื้น หายใจรดต้นคอเหี่ยวๆ ของ “โจ ไบเดน” ยิ่งยากเข้าไปทุกที...
แต่สำหรับ “ใครก็ตาม” ที่มีโอกาสได้อ่านข้อเขียน บทความ ของนักคิด-นักเขียน นักหนังสือพิมพ์ชาวออสเตรเลียรายหนึ่ง ชื่อว่า “นายGraham Hryce” ที่ยังปักหลักเขียนโน่น เขียนนี่ อยู่ที่หนังสือพิมพ์ “The Sydney Morning Herald” บ้าง “The Age” บ้าง “The Sunday Mail” บ้าง หรือที่นิตยสาร “The Spectator” ฯลฯ เป็นต้น อาจต้อง “คิดหน้า-คิดหลัง” อยู่ตามสมควร โดยเฉพาะเมื่อเจอกับการอ้างเหตุ อ้างผล ในข้อเขียน บทความชิ้นล่าสุด เมื่อช่วงศุกร์ (11 ก.ย.) ที่ผ่านมา ที่สรุปไว้เป็นชื่อเรื่องประมาณว่า “Here’s why Frankenstein Trump will probably win in November, and the aloof global elites will only have themselves to blame.” หรือทำไมผีดิบแฟรงเกนสไตน์อย่าง “ทรัมป์บ้า” อาจมีโอกาส “ชนะเลือกตั้ง” ในเดือนพฤศจิกาฯ ที่จะถึง โดยบรรดาพวกผู้นำโลกาภิวัตน์ที่โดดเดี่ยว อาจต้องหันมาโทษตัวเอง ทำนองนั้น...
คือไม่ว่าประวัติความเป็นมาของนักคิด-นักเขียนรายนี้ จะมีตื้น-ลึก-หนา-บาง เพียงใดก็ตามที แต่คงต้องยอมรับว่า...โดยเหตุผล ข้ออ้าง ที่หยิบมาใช้เป็นตัวคาดคะเนกระแสความเป็นไปของการเมืองในอเมริกา ออกจะมี “น้ำหนัก” มิใช่น้อย โดยเฉพาะการพูดถึงอำนาจชี้ขาดการเลือกตั้ง ที่ค่อนข้างขึ้นอยู่กับผู้ที่นักเขียนรายนี้ ท่านเรียกขานไว้ในนามพวก “Middle America” ที่ไม่ว่าจะเป็น “ทรัมป์บ้า” หรือ “โจซึมเซา” ต่างมิอาจชนะเลือกตั้งได้เลย ถ้าไม่พึ่งพิง พึ่งพา กลุ่มอเมริกันชนที่ว่านี้ได้โดยเด็ดขาด...
และที่น่าสนใจเอามากๆ ก็คือว่า...นักเขียนชาวออสเตรเลียรายนี้ท่านเห็นว่า ในช่วงระยะประมาณ 20 ปีที่ผ่านมา ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาล ในบรรดากลุ่มคนที่ถูกเรียกขานกันในนามพวก “Middle America” คือจากกลุ่มคนเล็กๆ ที่พิธีกรชาวอเมริกัน อย่าง “นายWalter Lippmann” เคยพูดถึงไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1920 โน่นเลย แต่นับวันกลับได้แผ่ซ่าน ขยายตัว จนกลายเป็นกลุ่มคนขนาดมหึมา หรือกลายเป็นผู้กำหนด“กระแสความเป็นไปในการเมืองอเมริกา” มากขึ้นและชัดเจนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ อันเนื่องมาจากสิ่งทีเรียกๆ กันว่า “โลกาภิวัตน์” หรือ “Globalization” นั่นแหละ ที่เป็นตัวนิรมิต สร้างสรรค์ สิ่งเหล่านี้ให้อุบัติขึ้นใน “อารมณ์-ความรู้สึก” ของบรรดาอเมริกันชน หนักยิ่งเข้าไปทุกที...
ไม่ต่างไปจากที่อภิมหานักปรัชญาทางการเมือง อย่างศาสตราจารย์ “Noam Chomsky” เคยพูดไว้เมื่อไม่กี่ปีที่แล้วนั่นแหละว่า ความพยายาม “ครอบงำ” โลกทั้งโลกของ “นักโลกาภิวัตน์” หรือพวก “เสรีนิยมใหม่” (Neoliberalism) ทั้งหลาย ไม่ว่าทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม การเงิน-การทอง ฯลฯ โดยมีคุณพ่ออเมริกาเป็นหัวหอก หรือเป็นประหนึ่ง “ฉันทามติวอชิงตัน” (Washington consensus) เอาเลยก็ว่าได้ เมื่อดันเกิด “ความล้มเหลว” ขึ้นมาอย่างเห็นได้โดยชัดเจน เลยกลายเป็นตัวส่งผลให้โลกทั้งโลกพลอยต้อง “เปลี่ยนแปลง” ตามไปด้วย เกิดพวกฝ่ายขวา พวกเผด็จการ พวกประชานิยม หรือพวกต่อต้านการอพยพ ฯลฯ ในแต่ละรูปละแบบ ผลุบๆ โผล่ๆ ขึ้นมาในสนามเลือกตั้งแต่ละประเทศ แต่ละสังคม และกวาดชัยชนะในการเลือกตั้งกันไปเป็นแถบๆ จนทำให้ “ระบอบประชาธิปไตย” ที่ถูกขับเคลื่อนโดยพวก “เสรีนิยมใหม่” ทั้งหลาย กลายเป็นระบอบที่น่าเกลียด น่ากลัว หรือ “น่าอันตราย” ยิ่งเข้าไปทุกที นำมาซึ่งการประท้วงโน่น ประท้วงนี่ นำมาซึ่ง “ความไม่สงบ-เรียบร้อย” ในแต่ละสังคม แต่ละประเทศ จนหาทางออก ทางไป แทบไม่เจอ จนตราบเท่าทุกวันนี้...
ส่วนใน “สังคมอเมริกัน” ก็ไม่ได้ผิดแผกแตกต่างไปจากกันสักเท่าไหร่ หรือได้เกิด “กระแสการเมือง” ที่เต็มไปด้วยความกริ้วโกรธคิดอยากแยกประเทศ แยกดินแดนกันไปให้พ้นๆ เต็มไปด้วยอารมณ์-ความรู้สึกอันคั่งแค้นรุนแรงต่อการเสียเปรียบ หรือถูกเอารัด-เอาเปรียบ ด้วยกระแสโลกาภิวัตน์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะโดยคุณพี่จีน ยุโรป หรือประเทศไหนๆ ก็แล้วแต่ ที่ถูกทำให้เป็น “ศัตรู” เอาง่ายๆ เป็น “อารมณ์-ความรู้สึก” ที่มุ่งต่อต้านความพยายามครอบงำทางการเมืองของบรรดาบรรษัทขนาดยักษ์ ข้าราชการ และกลไกต่างๆ ของสื่อมวลชน ตามเส้นทางประชาธิปไตยแบบอเมริกา โดยไม่คิดให้ความสนใจต่อ “เหตุผล” ใดๆ อีกต่อไปแล้วหรือเป็น “ความไม่มีเหตุผลอันไม่สามารถหวนกลับคืนไปสู่รูปเดิมๆ อีกต่อไป” ดังที่ “นายGraham Hryce” ได้สรุปเอาไว้ถึงลักษณะอาการของพวก “Middle America” ว่าน่าจะเป็นไปในแนวนี้นั่นแหละเป็นหลัก...
อีกทั้งตลอดช่วง 8 ปีที่ผ่านมาของอดีตประธานาธิบดี “โอบามา” ที่เคยคิดจะ Change โน่น Change นี่...แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ Change อะไรต่อมิอะไรเอาเลยแม้แต่น้อย ยังคงปล่อยให้กระแสการเมืองของพวก “Middle America” โตวัน โตคืน ยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ จนนำมาซึ่ง “ความพ่ายแพ้” แบบชนิด “หักปากกาเซียน” ต่อทายาททางการเมืองอย่าง “นางฮิลลารี คลินตัน” ไปจนได้ และแม้แต่ “โจซึมเซา” ทุกวันนี้ ก็ยังมองไม่เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของกระแสการเมืองในลักษณะที่ว่า ยังคงพยายามทำตัวให้แทบไม่ต่างไปจาก “โรนัลด์ เรแกน กลับมาเกิดใหม่” อะไรประมาณนั้น หรือพยายามงัดเอา “เหตุผล” ต่างๆ มาสู้กับ “ทรัมป์บ้า” ทั้งๆ ที่นอกจากไม่มีใครในอเมริกาคิดจะฟังเหตุ ฟังผล อีกต่อไปแล้ว เหตุผลบางอย่างยังอาจกลายเป็นการเข้าเนื้อ เข้าตัวของตัวเอง ในฐานะผู้ที่มีแต่ต้องเดินตามกระแสโลกาภิวัตน์ไปอย่างเซื่องๆ โดยมิอาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย...
มีอยู่แค่ “วิธีเดียว” เท่านั้น...ที่ “นายGraham Hryce” เห็นว่าน่าจะพอสู้กับ “ทรัมป์บ้า” ได้บ้าง คือต้องหาทางเอาชนะความห่าม ความห้าว หรือความบ้าของ “ทรัมป์บ้า” แบบชนิด “บ้า...ก็...บ้าวะ” อะไรประมาณนั้น แต่เนื่องจากผู้ที่พอมีฤทธิ์ มีเดช ในเรื่องทำนองนี้ อย่างเช่น “นางKamala Harris” ก็ดันมีฐานะเป็นแค่ผู้สมัครตำแหน่ง “รองประธานาธิบดี” เท่านั้น อีกทั้งสิ่งที่ออกจะเป็น “อันตราย” เอามากๆ สำหรับการหาเสียงของเดโมแครต คือการแสดงความอะลุ่มอล่วยต่อการประท้วง การก่อม็อบ ก่อกวนบ้านเมือง ของพวก “Black Lives Matter” มากไปหน่อย จนทำให้การแสดงออกถึงความเป็นผู้ปกป้องกฎหมายและความสงบเรียบร้อยของ “ทรัมป์บ้า” จึงอาจเป็นไปในแบบ “เลือกความสงบ...ต้องจบที่ลุงตู่” จนได้...
จริง-ไม่จริง เชื่อ-ไม่เชื่อ คงต้องรอไปวัดตัดสินในช่วงต้นเดือนพฤศจิกาฯ นั่นแหละ โดยถ้าทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นไปอย่างที่นักคิด-นักเขียนชาวออสเตรเลียผู้นี้ให้เหตุผลเอาไว้ ผลสรุปมันอาจเป็นไปแบบข้อความตอนท้ายๆ ของบทความเรื่องนี้ ที่ระบุไว้ด้วยคำพูดประโยคที่ว่า...“ผู้ที่เคยอ่านนวนิยายของ Mary Shelly เมื่อปี ค.ศ. 1818 คงพอจำได้ว่า จุดจบของเรื่อง Dr.Frankenstein ได้จบลงในลักษณะที่แม้นายแพทย์ผู้นี้จะเสียชีวิตลงไปแล้ว แต่สัตว์ประหลาดที่เขาสร้างขึ้นมายังคงมีชีวิตอยู่ และยังคงโซซัดโซเซอยู่แถวๆ เส้นสุดขอบฟ้าของธารน้ำแข็ง...” หรือพูดง่ายๆ ว่า...ยังรอวันเวลาการ “แตกดังโพละ” การแยกรัฐ แยกประเทศอเมริกา เอาเลยก็ไม่แน่!!!