เอพี/เอเจนซีส์ – ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ บอกในการพูดคุยเป็นการภายในตั้งแต่เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ว่า ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่นั้น “อันตรายอย่างมหันต์” อีกทั้งแพร่กระจายได้ง่าย ถึงแม้เขากำลังป่าวประกาศกับชาวอเมริกันว่ามันไม่ร้ายแรงไปกว่าไข้หวัดใหญ่แถมยืนยันว่าสามารถควบคุมการระบาดเอาไว้ได้ ทั้งนี้ตามเนื้อหาในหนังสือเล่มใหม่ของนักข่าวลายคราม “บ็อบ วูดเวิร์ด” ล่าสุดประมุขทำเนียบขาวออกมายอมรับในวันพุธ (9 ก.ย.) ว่าพูดแบบนั้นจริงแต่แค่ไม่อยากให้ประชาชนตื่นตระหนก ด้านโจ ไบเดน โจมตีทันควันทรัมป์โกหกและทรยศคนอเมริกัน
ทรัมป์บอกกับวูดเวิร์ดเมื่อเดือนมีนาคมว่า การป่าวประกาศต่อสาธารณชนของเขาเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ที่จงใจมุ่งลดทอนอันตรายของวิกฤตไวรัสนี้ให้ดูเล็กที่สุด “ผมต้องการที่จะทำให้มันเบาลงเสมอมา” ประธานาธิบดีผู้นี้บอก “ผมยังคงชอบที่จะทำให้มันเบาลง เพราะผมไม่ต้องการทำให้เกิดความแตกตื่น”
ตามหนังสือเล่มล่าสุดที่ใช้ชื่อเรื่องว่า “Rage” และมีกำหนดวางจำหน่ายวันอังคารหน้า (15) ทรัมป์ยอมรับกับวูดเวิร์ดว่าไวรัสนี้กำลังทำให้เขารู้สึกกลัว ถึงแม้ในเวลานั้นเขากำลังบอกกับผู้คนในชาติว่าไวรัสนี้จะสงบไปอย่างรวดเร็ว
หนังสือเล่มนี้ใช้ข้อมูลหลายส่วนจากการที่ทรัมป์ยินยอมให้วูดเวิร์ดสัมภาษณ์ซักถามเป็นการภายในรวม 18 ครั้ง ในช่วงระหว่างเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ถึงเดือนกรกฎาคมปีนี้ โดยที่วูดเวิร์ดได้บันทึกเสียงการสัมภาษณ์เหล่านี้เอาไว้ และนำออกมาเผยแพร่พร้อมๆ กับการเปิดตัวประชาสัมพันธ์หนังสือด้วย
การเปิดเผยเรื่องราวในหนังสือเล่มนี้ ซึ่งออกสู่ตลาดขณะที่เหลือเวลาอีกไม่ถึง 8 สัปดาห์ก็จะถึงวันเลือกตั้ง 3 พฤศจิกายน กำลังกลายเป็นการชักชวนให้สาธารณชนหวนกลับมาสนใจเรื่องวิธีการของทรัมป์ในการรับมือโรคระบาดที่คร่าชีวิตคนอเมริกันไปราว 190,000 คนแล้ว ในแบบที่เจ้าต้องไม่ได้ต้องการเลย รวมทั้งกำลังพยายามเบี่ยงเบนไปยังเรื่องอื่นๆ มาตลอด
ระหว่างการสนทนากับวูดเวิร์ดเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ ทรัมป์พูดถึงไวรัสนี้ว่า “คุณเพียงแค่หายใจเอาอากาศเข้าไป นี่แหละวิธีที่มันติดต่อแพร่เชื้อล่ะ ดังนั้นมันจึงเป็นไวรัสที่เหลี่ยมจัดมากๆ เป็นไวรัสที่ซับซ้อนมากๆ แล้วมันยังมีอันตรายอย่างมหันต์ยิ่งเสียกว่าพวกไข้หวัดใหญ่ร้ายกาจของคุณอีก” แต่ในอีก 3 วันต่อมา ระหว่างที่เขาให้สัมภาษณ์ทีวี ฟอกซ์ บิสซิเนส ทรัมป์กลับใช้คำพูดที่มองโลกสดใสแบบหนังคนละม้วน “ผมคิดว่าไวรัสนี้กำลังจะ—มันกำลังจะหายไป”
ในวันพุธ (9) ไบเดน อดีตรองประธานาธิบดีและผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครต ออกมาโจมตีทรัมป์ว่า หนังสือของวูดเวิร์ดฟ้องว่า ทรัมป์โกหกคนอเมริกัน เพราะรู้ดีแต่กลับปกปิดอันตรายของโควิด-19 มาเป็นเดือนๆ ซึ่งเข้าข่ายละเลยการปฏิบัติหน้าที่และมีผลกระทบต่อความเป็นความตายของประชาชน
ด้านทรัมป์แถลงจากทำเนียบขาวในวันเดียวกันยอมรับว่า ทำแบบนั้นจริงเพราะไม่ต้องการให้ประชาชนเป็นทุกข์และตื่นตระหนก รวมถึงพยายามป้องกันไม่ให้สินค้าจำเป็นต่างๆ ขึ้นราคา
“ข้อเท็จจริงมีอยู่ว่าผมเป็นเชียร์ลีดเดอร์สำหรับประเทศนี้ ผมรักประเทศของเราและผมไม่ต้องการให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว ผมไม่ต้องการทำให้เกิดความตื่นตระหนก” ทรัมป์บอกกพับพวกผู้สื่อข่าว “แน่นอนทีเดียว ผมจะไม่ขับดันประเทศนี้หรือโลกนี้ให้เข้าสู่ความคลุ้มคลั่ง เราต้องการที่จะแสดงให้เห็นความเชื่อมั่น เราต้องการที่จะแสดงให้เห็นความเข้มแข็ง”
อย่างไรก็ดี คำพูดคำแถลงต่อสาธารณชนที่ผ่านมาของทรัมป์ บ่งชี้ให้เห้นว่าเขากำลังนำพาประชาชนให้ละเลยเพิกเฉยความเป็นจริงของพายุร้ายที่กำลังพัดเข้ามา ในหนังสือของเขา วูดเวิร์ดให้รายละเอียดเกี่ยวกับคำเตือนอันขึงขังน่ากลัวจากพวกเจ้าหน้าที่ความมั่นคงแห่งชาติระดับท็อปของทรัมป์ที่มีถึงประธานาธิบดีตั้งแต่ตอนปลายเดือนมกราคมว่า ไวรัสนี้อาจจะเลวร้ายพอๆ กับคราวโรคระบาดไข้หวัดใหญ่ปี 1918 ทีเดียว
ในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ไม่กี่สัปดาห์ก่อนที่พื้นที่จำนวนมากของสหรัฐฯจะถูกบังคับให้ต้องล็อกดาวน์เพราะโรคระบาด ทรัมป์ยังคงประกาศว่าไวรัสนี้ “ถูกควบคุมเอาไว้แล้วอย่างดีมากในประเทศของเรา”
ถึงแม้เขาสั่งห้ามการเดินทางไปจีนในเดือนมกราคม แต่ทรัมป์ก็ไม่ได้เริ่มต้นอุทิศทรัพยากรของรัฐบาลกลางสหรัฐฯอย่างมากมายกว้างขวางไปให้แก่การจัดซื้อพวกอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลที่จำเป็น ดังเช่น หน้ากากอนามัคย หรือสั่งขยายการผลิตเครื่องช่วยหายใจ และรอไปจนถึงเดือนมีนาคมจึงได้ทำสิ่งเหล่านี้ ในความเป็นจริงแล้ว การที่พวกเจ้าหน้าที่สหรัฐฯเสนอแนะในตอนแรกๆ ไม่ให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัย จนจนกระทั่งถึงเดือนเมษายนจึงได้เปลี่ยนแปลงข้อเสนอเรื่องนี้นั้น ส่วนหนึ่งมาจากการที่มีหน้ากากป้องกันไม่พอให้พวกบุคลากรทางแพทย์ที่อยู่ตรงแนวหน้าใช้งานนั่นเอง
พวกผู้ช่วยและพวกพันธมิตรของทรัมป์ต่างพูดกันในเวลานั้นว่า การที่ทรัมป์พูดจาให้ภาพในทางสดใสเกี่ยวกับสถานการณ์ไวรัสในตลอดทั้งเดือนกุมภาพันธ์นั้น ก็เนื่องจากกำลังมุ่งหมายที่จะประคับประคองเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตามในระหว่างเวลานั้นเองคณะบริหารของเขาได้ดำเนินมาตรการรูปธรรมเพียงไม่กี่อย่างเท่านั้นในการเตรียมรับมือกับโรคระบาดที่กำลังเคลื่อนเข้ามาถึง
ในวันพุธ วอชิงตันโพสต์ ที่วูดเวิร์ดยังคงรับหน้าที่เป็นรองบรรณาธิการ ได้นำเนื้อหาบางตอนของหนังสือ “Rage” มาเผยแพร่ เช่นเดียวกับโทรทัศน์ข่าวซีเอ็นเอ็น โดยนอกจากเรื่องไวรัสแล้ว ในหนังสือเล่มนี้ยังมีเนื้อหาครอบคลุมถึงประเด็นความไม่สงบจากปัญหาด้านเชื้อชาติสีผิว นโยบายการทูตกับเกาหลีเหนือ ตลอดจนประเด็นอื่นๆ จำนวนหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเวลา 2 ปีที่ผ่านมา
ในประเด็นเรื่องโรคระบาดนั้น วูดเวิร์ดเขียนเอาไว้ว่า “ทรัมป์ดูเหมือนไม่เคยเต็มใจระดมทรัพยากรของรัฐบาลกลางอย่างเต็มที่เพื่อมารับมือกับเรื่องนี้ แต่ผลักภาระให้แต่ละรัฐจัดการกันเองมาโดยตลอด” พร้อมกับบอกอีกว่าคณะบริหารไม่เคยมีทฤษฎีการบริหารจัดการกับวิกฤตนี้เลย รวมทั้งไม่ได้มีวิธีจัดระเบียบองค์กรขนาดใหญ่เพื่อจัดการกับหนึ่งในสถานการณ์ฉุกเฉินที่ซับซ้อนที่สุดที่อเมริกาเคยเผชิญมา
ทว่า เคย์ลี แมคเอนานี โฆษกทำเนียบขาว แถลงเมื่อวันพุธว่า ทรัมป์ไม่เคยโกหกประชาชนเกี่ยวกับโควิด และการดำเนินการต่างๆ แสดงให้เห็นว่า เขาลงมือจัดการปัญหานี้อย่างจริงจัง เช่น การจำกัดการเดินทางจากจีนตั้งแต่วันที่ 31 ม.ค. ขณะที่พวกเดโมแครตบางคนกลับวิพากษ์วิจารณ์การตัดสินใจดังกล่าว
ด้าน น.พ. แอนโทนี ฟาวซี ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อชั้นนำของสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์ในวันเดียวกันว่า ทรัมป์ไม่เคยบิดเบือนสิ่งที่ตนเคยชี้แจงให้ฟัง แต่มักต้องการให้แน่ใจว่า ประเทศจะไม่เสียหาย
อย่างไรก็ตาม ส.ว.ชัค ชูเมอร์ ผู้นำของพรรคเดโมแครตในวุฒิสภา บอกว่า ความจริงที่เห็นกันอยู่โต้งๆ ก็คือประธานาธิบดีทรัมป์โกหกและมีผู้คนต้องล้มตาย ชูเมอร์ซึ่งเป็น ส.ว. จากรัฐนิวยอร์ก ที่เป็นศูนย์กลางการระบาดในช่วงแรกๆ ในสหรัฐฯของโควิด-19 กล่าวว่า เมื่อเขาคิดถึงเรื่องที่มีประชาชนในรัฐของเขาจำนวนเท่าใดต้องล้มตายไป ก็มีแต่ทำให้เขายิ่งรู้สึกโกรธเกรี้ยว เขากล่าวต่อไปว่า “มีผู้คนเท่าไหร่ที่จะสามารถมีชีวิตอยู่ในวันนี้ได้ ถ้าหากเพียงแต่เขาบอกความจริงแก่ชาวอเมริกัน”
ขณะที่ ส.ส.แนนซี เปโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งก็เป็นชาวพรรคเดโมแครต กล่าวว่า ความเห็นต่างๆ ที่ทรัมป์พูดกับวูดเวิร์ด แสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอและการดูหมิ่นวิทยาศาสตร์
“สิ่งที่เขากำลังพูดออกมาจริงๆ ก็คือ ‘ผมไม่ต้องการให้ใครๆ คิดว่ามีอะไรแบบนี้เกิดขึ้นมาภายใต้การดูแลของผม ดังนั้นผมจึงจะไม่ทำให้เกิดความสนใจในสิ่งนี้มากยิ่งไปกว่านี้’” เปโลซีบอก
วูดเวิร์ด ซึ่งมีชื่อเสียงตั้งแต่ที่เขาร่วมรายงานข่าวเปิดโปงคดีวอเตอร์เกตในยุคประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน ในทศวรรษ 1970 ได้ติดตามเขียนหนังสือเกี่ยวกับการทำงานของประธานาธิบดีในยุคหลังๆ มาหลายเล่มแล้ว เฉพาะทรัมป์ เขาก็ได้เขียนเอาไว้เล่มหนึ่งในปี 2018 โดยให้ภาพทรัมป์ว่าเป็นประธานาธิบดีที่พูดจาโผงผางและมักกราดเกรี้ยวเจ้าหน้าที่ที่ตัวเองไม่ได้เป็นคนสัมภาษณ์ให้เข้าทำงาน
เจ้าหน้าที่หลายคนของทำเนียบขาวเผยว่า ทรัมป์ได้รับการโน้มน้าวให้เชื่อว่า การยอมพูดคุยกับวูดเวิร์ดจะทำให้นักข่าวรุ่นใหญ่ผู้นี้เขียนถึงเขาในแง่ดี ขณะที่ทรัมป์ดูจะชื่นชมวูดเวิร์ดมาตลอดว่าเป็นนักข่าวที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และยังบอกกับเหล่าผู้ช่วยว่า เขาต้องได้ให้สัมภาษณ์ ถ้าวูดเวิร์ดจะออกหนังสือเล่มใหม่