ถ้าหากจะไปหาเรื่อง “เบาๆ” มาเป็นตัว “ปิดฉาก” ในช่วงสัปดาห์นี้...ก็เห็นจะมีแค่เรื่องผู้นำอเมริกา อย่าง “ทรัมป์บ้า” ถูก ส.ส.ฝ่ายขวาจัดของนอร์เวย์ คิดเสนอชื่อให้ได้รับ “รางวัลสันติภาพ” ระดับโลก อย่างรางวัล “Nobel peace prize” อะไรประมาณนั้น ซึ่งค่อนข้างเป็นอะไรที่นอกจากจะออกไปทาง “ตลก-โปกฮา” แถมหนักไปทาง “ตลกร้าย” ซะอีกต่างหาก ด้วยเหตุนี้...เลยคงต้องขออนุญาต หยิบเอาเรื่อง “เงินๆ-ทองๆ” ที่ว่ากันมาตั้งต้นสัปดาห์ มาเป็นตัวปิดฉากไว้ในท้ายสัปดาห์นี้ก็แล้วกัน...
คือเรื่องของ “เงินๆ-ทองๆ” หรือเรื่องความเป็นไปทาง “เศรษฐกิจ” ในระดับโลกนั้น...อันที่จริงอาจนำมาใช้เป็นคำตอบ หรือคำอธิบาย ไม่ว่าในทาง “การเมือง” หรือแม้แต่ “การทหาร” ได้บ้างไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะท่ามกลางความเพียรพยายาม ความกระเหี้ยนกระหือรือของประเทศมหาอำนาจสูงสุดในระดับโลก อย่างคุณพ่ออเมริกา ที่พยายามไล่เตะ ไล่ถีบ ไล่ทุบ ไล่ถอง เพื่อให้มหาอำนาจคู่แข่ง โดยเฉพาะในทางเศรษฐกิจ อย่างคุณพี่จีนคว่ำข้าวเม่าลงไปให้จงได้ ไม่ว่าตั้งแต่ความพยายามเปิดฉาก “สงครามการค้า” กันมาตั้งแต่แรก หรือตั้งแต่ต้นรัฐบาล “ทรัมป์บ้า” มาโดยตลอด จนค่อยๆ กลายสภาพเป็น “สงครามเทคโนโลยี” ไปจนถึง “สงครามเย็นยุคใหม่” ที่มีแต่ร้อนกับร้อน ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ...
แต่ไม่ว่าจะเพียรพยายาม จะออกแรงฮึด แรงขับเคลื่อน เพียงใดก็แล้วแต่...มาถึงทุกวันนี้ ณ บัดนี้ คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้ว่า ท่ามกลางภาวะ “ความเจ๊ง...กับ...เจ๊ง” ของแต่ละฝ่าย ดูเหมือนว่าฝ่ายคุณพ่ออเมริกานั่นแหละ ที่ออกจะ “เจ๊งหนัก” และ “เจ๊งนาน” ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ชนิดมีสิทธิ “ฉิบหาย...กับ...ฉิบหาย” ไม่มีโอกาสฟื้นคืนกลับมาสู่ความ “Great Again” ใดๆ ได้เลย โดยเฉพาะถ้าดูจากความเป็นไปในตลาดหุ้น ตลาดทุน ผลตอบแทนทางพันธบัตร ไปจนถึงดัชนีชี้วัดความเป็นไปทางเศรษฐกิจในลักษณะต่างๆ ฯลฯ อย่างเช่นข่าวคราวล่าสุด ที่ถือเป็นเรื่องใหญ่ และเรื่องน่าคิด น่าสะกิดใจ มิใช่น้อย นั่นก็คือเรื่องการทำ “เงินหาย” หรือการสูญเสียสถานะทางเศรษฐกิจของบรรดาบริษัทยักษ์ๆ ในระดับต้นๆ ของอเมริกา ประมาณ 6 บริษัทด้วยกัน หรือบรรดาบรรษัทประเภท “ไฮเทค” ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น “F-Facebook”, “A-Amazon”, “N-Netflix”, “M-Microsoft”, “A-Apple” ไปจนถึง “G-Google” หรือตลอดทั่วทั้ง “FANMAG” แบบทั้งแผง ทั้งยวง...
ปริมาณ “เงินหาย” ที่ว่านี้ ถ้าคิดเป็นมูลค่า เป็นตัวเงิน-ตัวทอง ก็ต้องเรียกว่า...นับเป็น “ล้านล้านดอลลาร์” Amazon นั้น หายไปประมาณ 191,000 ล้านดอลลาร์ Microsoft หายไป 219,000 ล้านดอลลาร์ Alphabet หายไป 135,000 ล้านดอลลาร์ Facebook หายไป 89,000 ล้านดอลลาร์ หรือแม้แต่ Telsa บริษัทรถยนต์ไฟฟ้าของ “นายอีลอน มัสก์” (Elon Musk) ยังต้องหายไปด้วยถึง 80,000 ล้านดอลลาร์ ฯลฯ ส่งผลให้มูลค่าซื้อ-ขายหุ้นในตลาด “Nasdaq Composit” ที่เคยมีอยู่ราวๆ 8.2 ล้านล้านดอลลาร์ หดเหลืออยู่แค่ 7.1 ล้านล้านดอลลาร์ หรือหายไปไม่น้อยกว่า 400 จุด ขณะที่ “Dow Jones” ร่วงไปถึง 600 จุด จนกลายเป็นตัวก่อให้เกิด “สมมติฐาน” ว่า อาจกำลังนำไปสู่ภาวะ “ฟองสบู่แตกครั้งใหญ่” เอาเลยก็ไม่แน่!!! และก็ไม่ใช่แต่เฉพาะ “นายRob Arnott” แห่งบริษัท LLC ผู้ได้ชื่อ ฉายา ว่าเจ้าพ่อแห่งการลงทุนในเชิงปริมาณ (Smart-Beta) เท่านั้น ที่ออกมาตั้งข้อสมมติฐานในแนวนี้ ล่าสุด...แม้แต่ “นายPeter Schiff” นายหน้าค้าหุ้นระดับโลก ที่ถือเป็น “หมอดูทางเศรษฐกิจ” ผู้มีความแม่นยำไม่น้อยไปกว่า “โหรฟองสนาน” บ้านเรา ก็ดูจะเห็นไปในแนวเดียวกัน หรือเห็นว่า “อภิมหามารดาแห่งฟองสบู่” ของเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังใกล้แตกแหล่ มิแตกแหล่ ในอีกไม่ช้า-ไม่นาน นับจากนี้...
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...เมื่อภายในช่วงระยะเวลาใกล้ๆ กัน ผู้บริหารธนาคารกลางสหรัฐฯ สาขาชิคาโก “นายCharles Evans” ได้ออกมาเรียกร้องให้ “FED” เร่งพิมพ์เงินเพิ่ม หรือเร่งกระทำการ “QE” (Quantitative Easing) เพื่อช่วยเหลือเยียวยา “ตลาดหุ้น” ยิ่งขึ้นไปอีก ทั้งๆ ที่ปริมาณ “เงินดอลลาร์” ทุกวันนี้ น่าจะท่วมโลกระดับเลยหู เลยหาง กันไปเยอะแล้ว หรือกลายเป็นสาเหตุ เป็นเหตุปัจจัย ที่ทำให้เชื่อๆ กันว่า กลายเป็นตัว “กดค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ” ให้ต้องตกลงไปถึงประมาณ 4.1 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับ “เงินหยวน” ของจีน ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา หรือทำให้ “Dollar Index” (DXY) ลดสู่ระดับต่ำสุดนับแต่ปี ค.ศ. 2018 เป็นต้นมา...
พูดง่ายๆ ว่า...ขณะเศรษฐกิจอเมริกากำลังออกอาการ “เกษรอ่อนระทวย” ลงไปเรื่อยๆ...เศรษฐกิจของมหาอำนาจคู่แข่งอย่างจีน กลับเป็นอะไรที่ออกจะดีวัน-ดีคืน แสดงลักษณะอาการ “ฟื้นแบบต่อเนื่อง” ตัวเลขจีดีพีที่เคยทำท่าว่าติดลบ ก็เริ่มกลายมาเป็นบวก ตัวเลขส่งออกทำท่าว่าอาจเพิ่มขึ้นไปในระดับ 2 หลักอีกไม่นาน-ไม่ช้า มูลค่าตอบแทนของพันธบัตรจีนในช่วงอายุ 10 ปี สูงขึ้นไปประมาณ 1.4 เท่าตัว เมื่อเทียบกับช่วงปีที่แล้ว หรือสูงกว่าผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ในระยะเวลาเดียวกันไปถึง 2.30 เปอร์เซ็นต์ ตัวเลขดุลของทุนสำรองเงินตราเริ่มกลับมาเป็นบวก ตลอดช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่เองที่กลายเป็นหลักฐาน ข้อพิสูจน์ ว่าโอกาสที่เศรษฐกิจจีนจะกลับมา “เจ๊า” ขณะที่เศรษฐกิจอเมริกามีแต่ “เจ๊ง...กับ...เจ๊ง” ลูกเดียวเท่านั้นเอง จึงเป็นอะไรที่ชัดเจนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ...
และอาจจะด้วยเหตุนี้ หรือไม่ อย่างไร ก็มิอาจทราบได้...ที่ทำให้ตัวเลข “ผลสำรวจ” ความคิด ความเห็น ครั้งล่าสุด เมื่อช่วงวันอังคาร (8 ก.ย.) ที่ผ่านมา ของสภาหอการค้าอเมริกัน หรือ “American Chamber of Commerce” ต่อบรรดา “บริษัทธุรกิจอเมริกัน” ทั้งหลาย ที่แห่เข้าไปลงทุนในเมืองจีนอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด ว่าคิดจะทำยังไง มาไง-ไปไง ต่อไป เมื่อต้องเจอกับแรงกดดันของสงครามการค้าระหว่างอเมริกากับจีน ถึงขนาดพยายามเร่งเร้าบรรดาบริษัทธุรกิจอเมริกาทั้งหลาย ให้ “ถอนตัว” หรือให้ “หย่าขาด” (Decoupling) จากประเทศจีนกันไปเป็นรายๆ โดยจะกลับไปตั้งหลักปักฐาน อยู่ในอเมริกา หรือแฉลบออกข้าง ไปยังประเทศไหนๆ ก็แล้วแต่ ที่อยู่ภายใต้ “เครือข่ายความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ” หรือ “Economic Prosperity Network” ซึ่งคุณพ่ออเมริกาพยายามรวบรวมเอาไว้ “เตะตัดขา” คุณพี่จีนกันโดยเฉพาะ ก็ย่อมได้ หรือย่อมได้รับการอุดหนุนเกื้อกูล จากรัฐบาลอเมริกันแบบถึงไหนก็ถึงกัน เอาเลยถึงขั้นนั้น...
แต่ปรากฏว่า “ผลสำรวจ” มันดันออกมาแบบ “ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อ” อะไรประมาณนั้น...คือปรากฏว่าบรรดาบริษัทอเมริกันที่เข้าไปลงทุนในประเทศจีน จำนวนถึง 92.1 เปอร์เซ็นต์ ตัดสินใจว่า...ยังไงๆ คงหนีไม่พ้นต้องปักหลักอยู่ในเมืองจีนต่อไปเรื่อยๆ แม้จะต้องเจอกับ “แรงกดดัน” จากรัฐบาลตัวเองเพียงใดก็ตามแต่ มีอยู่แค่ 5.1 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ที่คิดจะย้ายฐาน ย้ายที่ปักหลักไปหาฐานที่ตั้งแห่งใหม่ และแค่ประมาณ 4.3 เปอร์เซ็นต์ที่คิดกลับไปปักหลักอยู่ในอเมริกา โดยถ้าหากจะถามว่า...แล้วอะไรที่เป็น “แรงจูงใจ” ให้กล้าฝ่า กล้าฝืน กล้าสวนมือ สวนตีน สวนกระแสรัฐบาลของตัวเอง คำตอบก็คงไม่มีอะไรมากไปกว่า “ตลาดจีน” นั่นเอง ที่นอกจากจะใหญ่โตมหึมาระดับเป็นพันๆ ล้านเท่านั้น ยังถือเป็นตลาดที่มาแรงแซงโค้งในเรื่องการบริโภค อย่างชนิดเสี่ยสั่งลุย หรือเสี่ยมาเอง ยิ่งเข้าไปทุกที ดังนั้น...เอาเป็นว่า ไม่ว่าสงครามการค้า สงครามเทคโนโลยี หรือสงครามเย็นก็แล้วแต่ เพิ่งรบกันไปได้ไม่เท่าไหร่ ใครที่ต้องกลายเป็นฝ่ายแพ้-ฝ่ายชนะ มาถึงขั้นนี้...น่าจะพอมองออกได้ไม่ยากส์ส์ส์...