วันนี้...สงสัยคงต้องเปลี่ยนบรรยากาศ หันมาว่ากันเรื่อง “เงินๆ-ทองๆ” กันดูมั่ง เพราะระหว่างที่ผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” ท่านออกจะขยันขันแข็งในการ “สร้างศัตรู” ให้กับชาติบ้านเมืองตัวเองซะเหลือเกิน ไม่ว่าระดับ “ภายนอก” หรือ “ภายใน” ก็ตาม สิ่งที่กำลังก่อให้เกิด “คำถาม” ตามมา อาจไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่อง “การเมือง” หรือแม้แต่ “การทหาร” ที่พอรู้ๆ กันไปมั่งแล้ว เพราะสิ่งที่ถูกหยิบมาพูดถึง กล่าวถึงกันในช่วงระยะนี้ กลับดูจะออกไปทางเรื่อง “เงินๆ-ทองๆ” นั่นแหละเป็นหลัก...
อย่างที่ข้อเขียน บทความ ในสื่อทางการของจีน เช่น “Global Times” เขาต้องออกมาเตือนๆ ตั้งแต่เมื่อช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมาเอาไว้ประมาณว่า “Unsustainable US debt level a cause for concern” หรือความไร้เสถียรภาพของระดับหนี้สินสหรัฐฯ เป็นสิ่งที่ควรต้องหาทางจับตาเอาไว้ซะแต่เนิ่นๆ อะไรทำนองนั้น โดยไม่ว่าข้อเขียน ข้อคิดดังกล่าว จะถือเป็นมุมมองในแบบจีนๆ ที่คงไม่ได้เป็น “ปลื้ม” หรือไม่ได้คิดชื่นชม ยินดี ต่อความเป็นอเมริกันอยู่แล้วแน่ๆ ไม่ว่าในฐานะ “คู่แข่ง” หรือ “คู่กัด” ก็ตาม แต่ไม่เพียงการชี้แนะ ชี้นำให้โลกทั้งโลก ตระเตรียมรับมือกับ “ความเสี่ยง” อันเนื่องมาจากขีดความสามารถในการรับมือกับปัญหาหนี้สินระดับสูงที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ หรือระดับประมาณ 26.5 ล้านล้านดอลลาร์เป็นอย่างน้อย แซงหน้าจีดีพีประเทศไปแล้วไม่รู้กี่ช่วงต่อกี่ช่วงตัว โดยไม่ว่านักเศรษฐศาสตร์อเมริกา ไปจนธนาคารกลางสหรัฐฯ จะเก่งแสนเก่ง ฉลาดแสนฉลาด มีเครื่องไม้-เครื่องมือชนิดพิเศษกว่าใครอื่นเพียงใด แต่ภายใต้ภาวะที่ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแต่ต้องมี “ข้อจำกัด” ไปด้วยกันทั้งสิ้น โอกาสที่จะเกิดจากอาการ “ฟองสบู่แตก” ในระบบเศรษฐกิจอเมริกา ก็ใช่ว่าจะไม่มีเอาซะเลย!!!
นอกเหนือไปจากนั้น...ยังดันมี “ข่าวล่า-มาเรือ” กระเซ็นกระสายออกมาด้วยว่า จะด้วยความต้องการ “ลดอัตราเสี่ยง” ทางเศรษฐกิจ หรือจะโดยเหตุผลทางการเมืองที่ออกจะซับซ้อนซ่อนเงื่อน เพื่อนทรยศอีกด้วยหรือไม่ เพียงใด ความพยายามที่จะลดการถือครองหนี้สินสหรัฐฯ หรือลดปริมาณพันธบัตรอเมริกัน ที่เคยอยู่ในมือคุณพี่จีนประมาณ 1 ล้านล้านดอลลาร์ ลงไปให้เหลือประมาณ 800,00 ล้านดอลลาร์ หรือลดไปถึงเกือบ 20 เปอร์เซ็นต์ ไปจนถึงขั้นอาจตัดสินใจ “เทขายพันธบัตรทั้งหมด” ที่มีอยู่ในมือ ถ้าเกิดเรื่อง เกิดราว เกิดการปะทะระหว่างทหารจีน-ทหารอเมริกาขึ้นมาจริงๆ อาจมีความเป็นไปได้สูงยิ่งขึ้นไปทุกที บรรดาข่าวคราวเหล่านี้นี่เอง เลยเป็นอะไรที่คงต้องจับตาเอาไว้ซะแต่เนิ่นๆ ไม่ว่าคำพูด คำเตือน ของคุณพี่จีนจะจริงๆ จังๆ หรือไม่ เพียงใด ก็ตามที...
อีกทั้งเมื่อลองเงี่ยหูฟัง...บรรดาพวก “กูรู” หรือ “กูรู้” ทั้งหลาย อย่างเช่น “นายJim Rogers” อภิมหานักการเงินระดับ “พ่อมด” ที่เคยร่วมก่อตั้งกองทุน “Quantum Fund” และ “Soros Fund” โดยปัจจุบันยังเป็นประธาน “Beeland Interests” อันมีฐานอยู่ที่สิงคโปร์ ก็ดูจะออกมาในแนวคล้ายๆ กัน หรือถึงระดับตัดสินใจ “ฟันธง” เอาไว้ก่อนล่วงหน้า แบบชนิดเต็มผืน เต็มด้าม ด้วยคำพูดที่ว่า... “เนื่องจากผมเป็นคนอเมริกัน และผมคงไม่สบายใจนักที่จะเอ่ยคำพูดดังต่อไปนี้ นั่นก็คือ...ผมเกรงว่าเงินดอลลาร์อเมริกัน กำลังเข้าสู่จุดสิ้นสุดของสกุลเงินที่มีฐานะครอบงำตลาดในอีกไม่นาน-ไม่ช้า โดยจะมีบางสิ่ง บางอย่างเข้ามาแทนที่” ระหว่างการให้สัมภาษณ์ถึงความคิด ความเห็น เรื่องเงินๆ-ทองๆ เมื่อช่วงวันเสาร์ (5 ก.ย.) ที่ผ่านมา...
หรือแม้แต่ข้อเขียน บทความ ของ “นายคริส กิลล์” (Chris Gill) เรื่อง “The incredible appreciating Yuan” ที่เว็บไซต์ “ผู้จัดการ” ของหมู่เฮา นำมาแปลและเผยแพร่ในชื่อว่า “เงินหยวนกำลังแข็งโป๊กเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ” ในช่วงวัน-สองวันที่ผ่านมา ก็ดูจะเป็นไปในแนวเดียวกัน คือมองการแข็งค่าของเงินหยวนในรอบ 3 เดือนที่ผ่านมา ที่เขยิบขึ้นไปกว่า 4.1 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ ในแง่ที่ถือเป็นตัวสะท้อนความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจจีน ไปพร้อมๆ กับความอ่อนยวบเป็นกล้วยปิ้ง ของเศรษฐกิจอเมริกา ที่แม้ต้องอาศัยความระมัดระวังในการควบคุม ดูแล สถานะเหล่านี้ต่อไปในแบบไหน รูปไหน ก็ตามแต่ แต่โอกาสที่จะกลับมายิ่งใหญ่ เกรียงไกรของเงินดอลลาร์สหรัฐนั้น คงไม่ต่างอะไรไปจากเงินปอนด์ของอังกฤษ หรือเงินกิลเดอร์ของดัตช์ยุคการล่าอาณานิคมยังคงเฟื่องฟูนั่นเอง คือสุดท้าย...เมื่อหมดยุค หมดสมัย หนีไม่พ้นต้อง “เสื่อม” ลงไปตามลำดับ...
โดย “ความเสื่อม” ที่ว่า...มันจะเป็นไปในแบบไหน ในลักษณะใด ถ้าว่ากันตามความเห็นของ “นายJim Rogers” แล้ว แม้ว่าเงินดอลลาร์อเมริกัน อาจยังรักษาสถานะบางระดับได้ต่อไปในปีหน้า หลังผ่านพ้นการเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกัน หรือหลังผ่านพ้นการก่อม็อบของพวก “Black Lives Matter” แต่ยังไงๆ...ก็ยังต้องถือเป็น “ฉากสุดท้ายของเงินดอลลาร์” อยู่อีกเช่นเดิมนั่นเอง อีกทั้งถ้าหากข่าวคราวเรื่องการ “เทขายพันธบัตรสหรัฐ” ที่อยู่ในมือคุณพี่จีน เป็นไปในแบบหนักหนาสาหัสถึงประมาณ 4 ส่วน 5 ส่วน เท่าที่ถือครองเอาไว้มือ โอกาสที่เงินดอลลาร์อเมริกันอาจต้อง “เจ๊ง...กับ...เจ๊ง” ไม่มีโอกาสลืมตาอ้าปาก กลับมายิ่งใหญ่เกรียงไกรได้อีกครั้ง ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ...
แต่ส่วนจะ “เจ๊งมาก” หรือ “เจ๊งน้อย” ขนาดไหน...อันนี้ อาจไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องเศรษฐกิจ ธุรกิจ หรือเรื่องเงินๆ-ทองๆ ไปซะทั้งหมด แต่อาจเกี่ยวกับเรื่อง “การเลือกตั้ง” ในอเมริกานั่นแหละ ที่กลายเป็นตัวผูกรวม “ศัตรู” ทุกชนิดเอาไว้ ไม่ว่าในระดับโลก หรือระดับสังคมอเมริกันด้วยกันเอง โดยถ้าใครอยาก “หลับตานึกภาพ” กันให้ชัดๆ อาจต้องลองไปหาอ่านข้อเขียน บทความ ของนักคิด นักเขียน ชาวอเมริกันเชื้อสายบัลแกเรีย อย่าง “นายDaniel Ivandjiiski” หรือผู้ที่ใช้นามแฝง นามปากกาว่า “Tyler Durden” ที่ให้ความคิด ความเห็น ไว้อย่างสม่ำเสมอในเว็บไซต์ “Zero Hedge” โดยเฉพาะบทความล่าสุดว่าด้วยเรื่อง “Why We’re Facing The Biggest Election Nightmare In Modern American History No Matter Who End up Winning.” หรือทำไมเรากำลังต้องเผชิญฝันร้ายครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์การเลือกตั้งอเมริกายุคใหม่...โดยไม่ว่าใครจะเป็นผู้ชนะในขั้นสุดท้ายก็ตามที...
คือถ้าให้สรุปกันแบบสั้นๆ-ง่ายๆ ก็น่าจะประมาณว่า...ด้วยเหตุเพราะ “ความเป็นประชาธิปไตย” ตามแบบฉบับอเมริกัน ไม่ได้เป็นตัวก่อให้เกิดความเชื่อมั่นศรัทธา ก่อให้เกิดสิ่งยึดเหนี่ยวใดๆ ในสังคมอเมริกันอีกต่อไปแล้ว เพราะต่างฝ่ายต่างก็กลัว “ถูกโกง” ไปด้วยกันทั้งสิ้น ไม่ว่าฝ่ายสนับสนุน “ทรัมป์บ้า” ที่อยากลงคะแนนตามหน่วยเลือกตั้ง หรือฝ่ายสนับสนุน “โจซึมเซา” ที่อยากลงคะแนนทางไปรษณีย์ โอกาสที่ทอดยาวออกไปของการรู้แพ้-รู้ชนะ ที่อาจกินเวลาเป็นสัปดาห์ หรือเป็นเดือนๆ ก็แล้วแต่ จึงอาจนำไปสู่ฉากเหตุการณ์ในระดับ “การก่อจลาจลบนท้องถนนครั้งเลวร้ายที่สุดเท่าที่เคยมีมา” หรืออาจทำให้บรรดาอเมริกันชนที่พยายามหาซื้อ “ปืนสมิธ แอนด์ เวสสัน” ติดตัวไว้คนละกระบอก สองกระบอก จนเปอร์เซ็นต์การสั่งซื้อเพิ่มขึ้นกว่า 140 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับช่วงปีที่แล้ว ต้องหันมาไล่ยิงซึ่งกันและกัน ตามแบบฉบับหนังคาวบอยอเมริกันเอาเลยก็ไม่แน่!!! เพราะแค่เมื่อช่วงวันเสาร์ (5 ก.ย.) ที่ผ่านมา ใครที่มีโอกาสได้ดูคลิปวิดีโอการออกมาสวนสนาม พร้อมปืนกลประจำกาย ของพวกต่อต้านการเหยียดผิวอย่างกลุ่ม “NFAC” หรือกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า “Not Fucking Around Coalition” ที่ดันต้องมาเผชิญหน้ากับกลุ่ม “Pro-Police Patriots” หรือกลุ่มสนับสนุนตำรวจผู้รักชาติชาวผิวขาว ที่อาวุธเพียบอีกด้วยเช่นกัน ณ เมืองหลุยส์วิลล์ รัฐเคนทักกี คงพอนึกภาพออกว่า สุดท้าย...มุมจบของเลือกตั้งอเมริกา น่าจะออกมาในรูปไหน???