สวัสดีครับผม Mr. Leon มาแล้ว หลายคนคงได้ยินข่าวนายกรัฐมนตรี ชินโสะ อาเบะ ของญี่ปุ่นแถลงขอลาออกจากตำแหน่งกันมาบ้าง เมื่อวันศุกร์ที่ 28 สิงหาคมนี้เองที่งานแถลงข่าวนั้นทุกคนให้ความสนใจมากผมเองก็สนใจว่าอาเบะซังจะพูดและแถลงข่าวอะไรและวันนั้นก็ได้รู้ว่าอาเบะซังตัดสินใจจะลาออกผมรู้สึกตกใจมาก จะเห็นว่าอาเบะซังโดนสื่อมวลชนทั้งโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์โจมตีมาก มีการวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา ส่วนฝั่งโซเชียลเน็ตเวิร์คต่างๆ กลับเสียใจและชื่นชมความเหน็ดเหนื่อยของอาเบะซัง งานนี้จะตัดสินกันแค่ภายนอกที่เห็นนั้นไม่ได้จริงๆ
ทำให้ผมนึกย้อนกลับไปตอนที่ผมไปเที่ยวประเทศบัลแกเรีย Bulgaria เมื่อ 20 กว่าปีที่แล้วตอนที่ยังอายุไม่ถึง 20 ปีตอนนั้นเดินทางโดยรถไฟขึ้นที่สถานีกลางของประเทศตุรกี แต่มีปัญหาเรื่องการสื่อสารเป็นอย่างมาก คุยกันไม่รู้เรื่อง ทางผมพูดภาษาอังกฤษแบบสำเนียงญี่ปุ่น ฝั่งคนขายเป็นชายมีอายุสักหน่อยลุงพูดภาษาท้องถิ่นอย่างเดียว ผมพยายามบอกว่าผมจะไปบัลแกเรีย ทำยังไงก็ไม่รู้เรื่องกัน แม้ว่าผมจะไปขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ที่ให้ข้อมูลท่องเที่ยว tourist information แต่เจ้าหน้าที่ก็พูดออกมาแค่ว่านายสถานีคนนั้นเขาเป็นแบบนี้แหละอย่าไปคิดมากอย่าไปถือสาเลย แล้วก็ไม่ได้ไปช่วยผม ผมก็เลยตามเลย ตกลงซื้อตั๋วไปตามที่คิดแต่ก็ไม่รู้หรอกว่าจะซื้อถูกหรือไม่ เมื่อนั่งรถไปสักพักหนึ่งไปถึงเมืองหนึ่งระหว่างทาง ก็ปรากฏว่ารถไฟขบวนนั้นได้แยกออกเป็นสองสาย และผมก็เริ่มรู้สึกแปลกๆ เพราะขบวนที่ผมนั่งไม่มีใครเลย เมื่อมองไปรอบข้าง ก็เห็นแค่เจ้าหน้าที่ประจำรถไฟอยู่ 2 คน คนหนึ่งสูงวัย คนหนึ่งยังหนุ่มหน้าตาหล่อเลย ลุงสูงอายุพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แต่ว่าคนหนุ่มพอพูดภาษาอังกฤษได้บ้าง ตอนนั้นผมถามว่า ผมอยากจะไปเมืองปลอฟดิฟ Plovdiv ตอนนี้รถไฟขบวนนี้กำลังจะไปที่ที่นั่นหรือเปล่า ผมนั่งรถไฟถูกสายไหมครับ
เจ้าหน้าที่รถไฟหนุ่มก็แสดงสีหน้าตกใจขึ้นมาทันทีแล้วตะโกนบอกฮะ!! รถคันนี้กำลังย้อนกลับไปโรมาเนียนะ ผมก็เลยบอกว่าผมจะเอายังไงดี แล้วเขาก็ถามผมว่าคุณมีเงินติดตัวอยู่เท่าไหร่ แล้วมีเงินย่อยหรือเปล่า ผมก็เลยบอกว่าผมไม่มีเงินตุรกีเลยและก็ไม่มีเงินโรมาเนียด้วย ตอนนี้มีเงินย่อยอยู่ 10 US ดอลล่าร์ ทั้งสองคนหารือกันซึ่งผมก็ฟังภาษาไม่ออก คนที่พูดภาษาอังกฤษได้ก็มาบอกผมว่าเดี๋ยวจะซื้อตั๋วเปลี่ยนให้ไปอีกเมืองหนึ่งตอนแรกเหมือนคุยกันว่า 5 USดอลล่าร์ แล้วผมจะได้รับเงินทอนเท่าไหร่ๆ แต่เมื่อคุยต่อ ไปๆ มาๆ สุดท้ายเขาก็เก็บผมไป 10 USดอลล่าร์ แล้วก็ให้ตั๋วย้อนกลับไปที่เมืองเมืองหนึ่งเพื่อต่อรถ
ตอนนั้นเจ้าหน้าที่รถไฟก็คุยกับผมหลายเรื่อง เขาถามผมว่า "คุณมาจากญี่ปุ่นเหรอ?" ทําไมนายกรัฐมนตรีของพวกคุณถึงเปลี่ยนหน้าทุกสามเดือน?
ผมยิ้ม แต่คิดในใจและไม่ได้พูดออกไปว่า " 3 เดือนเหรอ หยาบคาย เขาเปลี่ยนทุก 2 เดือนต่างหากสิ " คือนายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่นนั้นตั้งแต่ก่อนนี้เป็นต้นมาก็เปลี่ยนหน้าอยู่บ่อยๆ บางคนสองเดือนบางคนสามเดือน ห้าเดือนบ้าง มีเหตุผลการเปลี่ยนหลายเหตุผล เช่น เรื่องปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาสุขภาพหรือบางคนมีเรื่องชู้สาวๆ มีภรรยาน้อยด้วยซ้ำไป
เหมือนกันเมื่อย้อนกลับมาเรื่องที่อาเบะซังประกาศลาออก บรรดาสื่อมวลชนต่างๆ ต่างเหมือนรู้สึกดีใจ แต่ในส่วนของประชาชนหรือว่า SNS ต่างๆ โลกโซเชียล กลับแสดงความรู้สึกเสียใจ มีคนพูดเกี่ยวกับอาเบะซังในหลากหลายมุมมองไม่ว่าจะเป็นช่วงที่เค้าทำงานอย่างหนัก ทุ่มเททำงานมาตลอด 7 ปี ช่วงของการเป็นนายกรัฐมนตรีในวาระต่างๆ และตอนนี้ที่อยู่ในช่วงของสถานการณ์โรคระบาดโควิดท่านก็ไม่เคยหยุดงานเลยกว่า 147 วันแล้ว ซึ่งความคิดเห็นของคนใน SNS ต่างก็ขอแสดงความเสียใจแล้วก็ขอบคุณที่ท่านทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อยซึ่งผมเองก็คิดแบบนั้นเช่นกัน ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 เป็นต้นมานายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นที่อยู่ในตำแหน่งนานเกิน 2 ปีก็มีแค่ 2 คนก็คือ นายกรัฐมนตรีอาเบะซัง และคุณจุนอิจิโร โคอิซูมิ นอกนั้นก็ใช้เวลาอยู่ในตำแหน่งน้อยมาก มีค่าเฉลี่ยประมาณ 1 ปีเท่านั้นเอง หนุ่มสาวญี่ปุ่นหรือคนที่ยังมีอายุน้อยชอบนายกรัฐมนตรีอาเบะ ถ้าไม่ชอบท่านคงอยู่ไม่ได้มาถึงเกือบ 8 ปี ดังนั้นการตัดสินใจคนเพียงแค่ปัจจัยภายนอกว่าเขาเป็นอย่างไร บางอย่างมันวัดไม่ได้
คุณชินโซ อาเบะ เป็นนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น และเป็นหัวหน้าพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) เขาเติบโตมาจากครอบครัวนักการเมืองมาโดยตลอดทั้งคุณปู่ และรุ่นคุณพ่อก็เช่นกัน ก่อนหน้านั้นระหว่างปี 2006 ถึง 2007 เขาเคยประกาศลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครั้งหนึ่งแล้ว ตอนนั้นผมเคยรู้สึกไม่ชอบอาเบะซังที่เขาประกาศลาออกจากตำแหน่งในครั้งนั้น เพราะคิดว่าขณะนั้นเขาดูจะขาดความรับผิดชอบไปสักหน่อย และก็ไม่มีใครคาดคิดว่าอาเบะซังจะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นอีกครั้ง มันเหมือนกับที่คนญี่ปุ่นไม่เชื่อว่าวง X Japan จะกลับมาทัวร์คอนเสิร์ตอีกครั้งหลังจากที่เลิกลาไปครั้งก่อน แต่ต้องบอกตรงๆ เลยว่าการลาออกของเขาในครั้งนี้ผมรู้สึกต่างจากครั้งนั้น และต้องขอบคุณที่เขาทุ่มเททำงานอย่างเหน็ดเหนื่อยมาตลอดหลายปี
3 ประเด็นที่คนพูดถึงนายกรัฐมนตรีอาเบะซัง คือ
1. "การทูตของอาเบะซัง" เป็นความจริง?
ทั้งสื่อมวลชนต่างๆ เองและอาเบะซังต่างก็กล่าวว่า มีดีที่เรื่อง "การทูตของอาเบะซัง" บางคนก็เห็นด้วยนั่นเป็นความจริง บางเรื่องมันก็เหมือนซีนในภาพยนตร์อยู่เหมือนกันนะครับ เช่น การเยือนอิหร่านเพื่อที่จะการระงับข้อพิพาททางเลือกอนุญาโตตุลาการ (เป็นกระบวนการที่คู่พิพาทตกลงกันให้บุคคลที่สามที่มีความเป็นกลางและเป็นอิสระ และมีความรู้ความเชี่ยวชาญในเรื่องที่พิพาทนั้นเป็นผู้ทำการวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทดังกล่าว) ระหว่างอิหร่านและสหรัฐอเมริกา→ ในระหว่างการเยือนของอาเบะซัง ดันเกิดเรือบรรทุกน้ํามันญี่ปุ่นระเบิดในน่านน้ําอิหร่าน !! ให้อารมณ์ประหนึ่งซีนจบของภาพยนตร์ B-class Yakuza เลยเชียว , ในการประชุมอื่นๆ รัฐบาลพยายามสร้างให้เกิดสถานะที่แข็งแกร่งผ่านการบริหารระยะยาว , หรือแม้เรื่องที่เคยไปเยือนฮิลลารีตามคำชวนของเธอ แต่เขาก็ยังคงเป็นเพื่อนที่ดีกับทรัมป์ ความสัมพันธ์ที่ดีถึงขนาดเคยเล่นกอล์ฟกับประธานาธิบดีทรัมป์ ของอเมริกา ประมาณ 5 ครั้ง และนี้คือหนึ่งในความสําเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา ด้วยบุคลิกภาพของอาเบะซัง ที่ไม่ได้ดูเป็นคนเก่งกาจเหมือนการรวมกันระหว่างคนเก่งอย่าง Merkel และ Macron แต่เขาก็เป็นเพื่อนกับคนอื่นๆ ได้ดี
2. "สิ่งที่สําคัญที่สุดในการเมืองคือการเห็นผลลัพธ์ที่ทำ" ?
คนรุ่นใหม่ที่อายุยังน้อย ให้การจัดอันดับ (ของพรรคอนุรักษ์นิยม) สูงกว่าพรรคประชาธิปไตยเสรีนิยมในการรองรับและแก้ปัญหาต่างๆ ที่เคยเกิดก่อนหน้านี้ ตั้งแต่สมัยของการบริหารของทีมรัฐบาลอื่นในช่วงที่เกิดปัญหาแผ่นดินไหวใหญ่และสึนามิที่จังหวัดฟุกุชิม่า ,ภาวะเงินเยนแข็งค่า และความยากลําบากในการหางานของเด็กจบใหม่ , การตัดสินใจเกี่ยวกับโอลิมปิกและจํานวนบัณฑิตใหม่ที่ลดน้อยกว่าครึ่งหนึ่ง "ที่ถือว่าเป็นยุคฝันร้ายของประชาธิปไตย" แม้ไม่ใช่เป็นความผิดของพรรคประชาธิปไตย ที่เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ แต่การรองรับในครั้งนั้นค่อนข้างแย่ และนั่นก็คือผลลัพธ์ ( แถมยังมีบางคนกล่าวแบบทฤษฎีสมรู้ร่วมคิดว่า พรรคประชาธิปไตยทำให้เกิดแผ่นดินไหวเทียมขึ้นมาด้วย ไม่รู้จริงไหมนะครับ )
มาถึงรัฐบาลชุดนี้ การตัดสินใจเกี่ยวกับโอลิมปิกและจํานวนบัณฑิตใหม่ที่น้อยลงก็ได้รับการแก้ไข ซึ่งไม่แน่ใจว่าแบบนี้เรียกว่าผลลัพธ์จากความพยายามหรือไม่ หรือเกิดเพราะโชคช่วย ทำให้เศรษฐกิจให้กระเตื้องขึ้นมา คนมีข้าวกิน คนอยู่ได้ คนชอบ นี่คือผลลัพธ์ออกมาดี คนก็ว่าว่าดี
3. アベノミクス อาเบะโนมิคส์ Abenomics ?
แนวคิด Abenomics ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบหลักคือ
1. **นโยบายผ่อนปรนทางการเงิน (นโยบายการผ่อนปรนเชิงปริมาณเป็นตัวต่อต้านภาวะเงินฝืด, reflation)
2. นโยบายการคลังแบบไดนามิก การลงทุนโยธาธิการและการลงทุนของภาครัฐ การลงทุนสาธารณะขนาดใหญ่(ความยืดหยุ่นระดับชาติ)
3. ปฏิรูปแนวทางการสร้างความสามารถทางการแข่งขัน กลยุทธ์การเติบโตเพื่อกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชน(นโยบายนวัตกรรม, ด้านเศรษฐกิจ)
หมายถึงนโยบายเศรษฐกิจได้รับการผลักดันและดำเนินการในรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีอาเบะ ที่มีเป้าหมายเพื่อแก้ไขปัญหาสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอย่างต่อเนื่องของญี่ปุ่น ประกอบด้วยนโยบาย ผลกระทบที่ใหญ่ที่สุดคือในระยะสั้น, มิติของการผ่อนคลายทางการเงินอีก รวมทั้งนักเศรษฐศาสตร์โนเบล สามารถทํานายผลได้ บางคนกล่าวว่าอัตราเงินเฟ้อ Hyper inflation หรือการยุบพันธบัตรรัฐบาลและเงินเยนจะกลายเป็นกระดาษ แต่ราคาก็ไม่เพิ่มขึ้น (ตามที่คาดไว้) และเยนลดลงเล็กน้อยและราคาหุ้นเพิ่มขึ้น ยังไงก็ตาม เรื่องนี้คือความโชคดี
สื่อมวลชนเรียกว่าอาเบะซังเผด็จการ แต่เขาเป็นที่นิยมในหมู่คนหนุ่มสาว และคนส่วนใหญ่ใน SNS ซึ่งก็ไม่รู้ว่าฝ่ายไหนที่คิดถูกต้องกันแน่ เมื่อพิจารณาหุ้น (NIKKEI) ดิ่งลงมากกว่า 4% หลังจากข่าวการลาออกของอาเบะซังเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม ซึ่งนักลงทุนในตลาดหุ้นกล่าวว่าพวกเขามีความมั่นใจในอาเบะซัง
สื่อมวลชนส่วนหนึ่งพูดว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นแย่ แต่ว่าช่วงระยะเวลาที่อาเบะซังเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ก็ยังพอเดินไปได้และแก้ปัญหาที่ค้างมาจากรัฐบาลก่อนหน้า ก็ไม่ถือว่าแย่มากจนเกินไปแต่ถ้าจะถามว่าเป็นเพราะว่าเขาเก่งเรื่องการบริหารหรือเป็นเพราะความโชคช่วยกันแน่ ผมคิดว่าเขามีความโชคดีติดตัวมา มีดวงเสริมอยู่เยอะ ไม่เช่นนั้นน่าจะแย่กว่านี้ หรือว่าช่วงก่อนที่จะมีปัญหาโควิดเกิดขึ้น เด็กจบใหม่ก็ยังพอหางานกันได้บ้าง เพราะคนหนุ่มสาวมีจำนวนน้อยลง หลายๆ คนเห็นว่านายกรัฐมนตรีอาเบะซังก็ยังจะดีกว่าพวกคนที่มีอายุมากกว่านี้แล้วไม่ทำงานและนั่งกินเงินเดือนไปวันๆ
ในภาษาญี่ปุ่นมีคํากล่าวที่ว่า ( ถ้ามีครั้งที่ 2 จะมีครั้งที่ 3 ครั้ง) มีเสียงคาดหวังว่านายกรัฐมนตรีอาเบะท่านจะกลับมาอีกครั้งและอีกครั้ง โปรดพักผ่อนให้เต็มที่ เพื่อที่คุณจะได้รักษาสุขภาพให้แข็งแรง อาเบะซัง ขอบคุณมากครับ
ที่เมืองปลอฟดิฟ Plovdiv ประเทศบัลแกเรีย( ゚Д゚)......Σ (´・ω・`)(´・ω・`) ผมก็เดินทางมาถึงจนได้ ผมรู้สึกหิวมากจริงๆ จนงงไปหมด
ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วราคาตั๋วที่เจ้าหน้าที่รถไฟหนุ่มหล่อ ใจดีช่วยเหลือผมในวันนั้นคือราคาเท่าไหร่กันแน่ เป็นราคาที่แท้จริงหรือเปล่า หรือผมจะโดนเค้าหลอกก็ไม่รู้ คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจเลย แต่ถ้าคิดในแง่ดีก็คือยังโชคดีที่ยังมีคนพอพูดภาษาอังกฤษได้และช่วยเปลี่ยนตั๋วให้ผมในวันนั้น ไม่ว่าเจ้าหน้าที่รถไฟจะหลอกผมหรือไม่ แต่ผมก็เดินทางมาถึงจนได้ตามความช่วยเหลือของเขา แลกกันหยวนๆ วันนี้สวัสดีครับ