xs
xsm
sm
md
lg

ไม่ป่วยตายก็อาจต้องอดตายจนได้

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท


Christian Sewing ซีอีโอของธนาคารดอยซ์แบงก์
ไหนๆ...ก็ว่ากันถึงเรื่อง “เงินๆ-ทองๆ” ไปเมื่อสองวันก่อน...วันนี้ลองมาว่ากันต่อกันอีกสักตั้ง น่าจะเป็นอะไรที่เหมาะสมสอดคล้องกับบรรยากาศ ไม่ว่าจะภายใน-ภายนอก บ้านเรา-บ้านเขา หรือ ณ ที่ไหนๆ ก็แล้วแต่ เพราะถ้าลองมีอันต้องเจอกับอิทธิฤทธิ์ อิทธิเดชของท่านเชื้อไวรัส “COVID-19” ด้วยกันทั้งสิ้น ทั้งปวงแล้ว ย่อมมีแต่ “ตาย...กับ...ตาย” ลูกเดียวเท่านั้นเอง!!! ไม่ว่าจะหนักไปทาง “ป่วยตาย” หรือ “อดตาย” ก็ตามที...

คือถึงแม้บ้านเรา...ผู้ที่กลัว “อดตาย” มากกว่ากลัว “ป่วยตาย” ทำท่าว่าน่าจะเพิ่มขึ้นๆ ไปตามลำดับ โดยเฉพาะเมื่อตัวเลขผู้ป่วย ผู้ติดเชื้อ “COVID-19” แทบจะเหลือ “ศูนย์” มานานแล้ว แถมยังมีวัคซีนรัสเซีย วัคซีนจากเมืองจีน แม้กระทั่งวัคซีนไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา ฯลฯ กำลังทยอยออกมาเป็นระยะๆ จนความกลัว “ป่วยตาย” ชักจะลดระดับ ขณะความกลัว “อดตาย” เริ่มมาแรงแซงโค้ง เริ่มคิดจะเปิดโน่น เปิดนี่ คิดจะทำมาค้าขาย หาเงิน-หาทอง ให้ระเบิดเถิดเทิงเหมือนแต่ก่อนให้จงได้ แต่ถึงกระนั้นก็ตาม...ถ้าลองเงี่ยหูฟังข่าวคราวแบบรอบด้าน หรือแบบ “รู้โลก-รู้เรา” กันจริงๆ แล้ว คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้ว่าหลายต่อหลายอย่าง...มันยังไม่น่าจะเอื้ออำนวยมากมายสักเท่าไหร่ แม้ท่านนายกรัฐมนตรี “บิ๊กตู่” ท่านคิดจะมาเอง หรือคิดแอ่นอกเป็น “หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ” ด้วยตัวเองก็เถอะ...

พูดง่ายๆ ว่า...ภายใต้สภาพเช่นนี้ มันแทบไม่รู้จะไปค้ากับใคร?-ขายกับใคร? ในเมื่อตัวเลขผู้ป่วย ผู้ติดเชื้อ ผู้ตายเพราะเชื้อ “COVID-19” มันยังคงระเบิดเถิดเทิง ยังมีระลอกสอง ระลอกสาม ฯลฯ ตามมาอีกเยอะแยะมากมายและหลายต่อหลายประเทศอย่างที่ “CEO” ของ “Deutsche Bank” “นายChristian Sewing” เขาได้ออกมาพูดจา ว่ากล่าว ในที่ประชุมบรรดานายธนาคารหรือ ณ ที่ประชุม “Handelsblatt Banking Summit” ที่เมืองแฟรงก์เฟิร์ต ประเทศเยอรมนี เมื่อช่วงประมาณวันเสาร์ (5 ก.ย.) ที่ผ่านมานั่นแหละว่า โอกาสในการฟื้นฟูเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ ให้กลับไปสู่จุดก่อนหน้าที่จะเกิดเชื้อ “COVID-19” นั้น นอกจากเป็นอะไรที่ “ยากส์ส์ส์” เอามากๆ แล้ว ยังอาจต้องอาศัย “เวลา” เป็นปีๆ และ “ย่อมไม่ใช่ปีหน้านี้(2021)อย่างแน่นอน”...

ซึ่งโดยการอ้างเหตุ อ้างผล ประกอบคำพูด คำจา ของนายธนาคารผู้นี้ ก็ออกจะมี “น้ำหนัก” อยู่พอสมควร เช่นการสรุปให้เห็นถึงความเป็นไปของแวดวงธุรกิจ ที่ต้องเกิดการ “ลดขนาด” เพื่อรับมือภาวะการแพร่ระบาดที่ลุกลามกันในระดับโลก ไม่ใช่แต่เฉพาะที่ใด ที่หนึ่ง หรือ ณ จุดใด จุดหนึ่ง การลดบุคลากร ลดจำนวนพนักงาน ลดเป้าหมายทางธุรกิจ ฯลฯ เพื่อความอยู่รอด ไม่เพียงแต่ทำให้บรรดาบริษัทนั้นๆ ไม่อาจหวนกลับคืนมาสู่จุดเดิมๆ ได้ในระยะเวลาสั้นๆ หลายต่อหลายธุรกิจยังคงเปิดกิจการได้เพียงแค่ “บางส่วน” เท่านั้น จนทำให้หลายต่อหลายบริษัทหนีไม่พ้นต้องกลายสภาพเป็น “บริษัทซอมบี้” (Zombie Company) หรือบริษัทประเภทที่มูลค่า “หนี้สิน” สูงกว่า “ผลกำไร” ที่ได้รับ เพียงสามารถดำรงอยู่ได้ด้วยการ “กู้หนี้-ยืมสิน” เป็นหลัก โดยเชื่อๆ กันว่า...บรรดาบริษัทประเภทนี้ มีจำนวนมากถึง 1 ใน 5 ของแวดวงธุรกิจในสหรัฐอเมริกา เอาเลยถึงขั้นนั้น รวมทั้งในอังกฤษ ออสเตรเลีย และบรรดาประเทศหลักๆ ในยุโรป ฯลฯ หรือกระทั่งบริษัทเครดิต อย่าง “Creditreform” ในเยอรมนีเอง “นายChristian Sewing” ยังต้องออกปากสารภาพว่า ได้กลายเป็น “บริษัทซอมบี้” ไปเรียบร้อยแล้ว และนั่นย่อมก่อให้เกิด “ภาวะถดถอย” ต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ตามมา แบบเพิ่มขึ้นไปตามลำดับ...

แม้แต่บริษัทประเภทไฮถ่ง ไฮเทค ที่ว่ากันว่า...ช่วงระยะนี้สามารถทำกำไร หรือสามารถเพิ่ม “มูลค่าหุ้น” ได้แบบระเบิดเถิดเทิง เพราะผู้คนหันมาซื้อ-ขาย ติดต่อสื่อสาร ในช่องทางที่ว่าเพิ่มขึ้นๆ ชนิด “CEO” บริษัทอเมซอน อย่าง “นายเจฟฟ์ เบซอส” หรือ “เบซอส” (Jeff Bezos) ก็แล้วแต่ ถูกบรรดาพวก “ขี้อิจฉา” แห่มาประท้วงถึงหน้าสำนักงาน วางเครื่องประหาร “กิโยติน” เอาไว้ขู่ หรือไว้ประณามความรวย แบบชัดๆ จะจะ แต่เอาไป-เอามา...ไม่ว่าจะเป็นหุ้นอเมซอน กูก้ง กูเกิล หรืออะไรต่อมิอะไรก็แล้วแต่ ที่มักเรียกขานกันในนาม “FANG-Stock” ย่อมาจาก F-Facebook, A-Amazon, N-Netflix, G-Google หรือผนวกรวมเป็น “FANMAG-Stock” คือรวมเอา M-Microsoft และ A-Apple เข้าไปด้วย จากมูลค่าหุ้นที่เคยมาแรงแซงโค้ง ชนิดอุจจาระแตกอุจจาระแตน เพิ่มขึ้นถึง 5 ครั้งซ้อนๆ แต่เมื่อช่วงปิดตลาดวันจันทร์ (7 ก.ย.) ที่ผ่านมานี่เอง กลับดัน “ตกจากหอ-คอย่น” ซะดื้อๆ!!! หรือมูลค่าหุ้นร่วงลงไปถึง 11 เปอร์เซ็นต์ โดยสาเหตุอะไรก็ยังมิอาจสรุปได้...

แต่นั่นก็ได้ทำให้ “นายโรเบิร์ต อาร์น็อตต์” (Robert D. Arnott) ผู้ก่อตั้งและประธานคณะกรรมการบริษัท “Research Affiliates” หรือ “LLC” ผู้ได้ชื่อ ฉายา ว่า “Godfather of Smart-Beta” หรือเจ้าพ่อแห่งการลงทุนอันสุดแสนจะชาญฉลาด หรือการลงทุนในเชิงปริมาณ ที่มีข้อมูลอย่างเป็นระบบ มุ่งผลตอบแทนในการลงทุน แถมยังเก่งในลดความเสี่ยง หรือความผันผวนจากการลงทุนได้แบบต่ำสุด อีกทั้งยังเป็นผู้ให้คำปรึกษา แนะนำ ต่อการลงทุนในระดับกว่า 195 พันล้านดอลลาร์ขึ้นไป ถึงกับออกมาให้ความเห็นแบบน่าสยดสยอง น่าขนลุกขนพอง เอามากๆ นั่นคือการตั้งสมมติฐานถึงภาวะ “ฟองสบู่แตก” ที่อาจกำลังเกิดขึ้นกับบรรดาบริษัทธุรกิจไฮเทคอเมริกันทั้งหลาย!!!

นี่...ต้องเรียกว่า ออกอาการ “เจ๊ง...กับ...เจ๊ง” กันไปเป็นแถบๆ ไม่ว่าจะธุรกิจประเภทใดๆ ก็แล้วแต่ ไม่แต่เฉพาะธุรกิจท่องเที่ยว การบิน การเดินทาง ภัตตาคง ภัตตาคาร ฯลฯ ใดๆ ก็เถอะ หรือพูดง่ายๆ ว่า...มันเป็นภาวะที่ทั้งยุ่งยากลำบาก ทั้งยืดเยื้อยาวนาน จนถ้าหากไม่ “ป่วยตาย” อาจหนีไม่พ้นต้อง “อดตาย” กันไปตามสภาพ ไม่ใช่จะแก้กันได้ง่ายๆ ไม่ว่าจะยุ จะเชียร์ ให้เปิดโน่น เปิดนี่ หรือไม่ว่าจะ “อัดฉีด” กันในรูปไหนก็ตาม เพราะเท่าที่นับนิ้ว คำนวณ ว่ากันว่า...บรรดาธนาคารกลางทั่วทั้งโลกในทุกวันนี้ต่างทุ่มเงินอัดฉีด เยียวยา ในช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อ “COVID-19” ไปแล้วไม่ต่ำกว่า 15 ล้านล้านดอลลาร์เป็นอย่างน้อย หนักหนาสาหัสขนาดไหนก็ลองเอา 30 บาทเข้าไปคูณ ไปหาร กันเอาเองก็แล้วกัน...

ดังนั้น...ถ้าว่ากันถึงเรื่อง “เงินๆ-ทองๆ” ในช่วงนี้ ไม่ว่าใครก็ใครคงหนีไม่พ้นต้อง “ทำใจ” เอาไว้ให้เยอะๆ เข้าไว้นั่นแหละดี โดยสิ่งที่สามารถนำมาใช้เป็น “ดัชนีชี้วัด” ความเป็นทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าในระยะนี้ หรือระยะต่อไปได้ค่อนข้างชัดเจนที่สุด น่าจะหนีไม่พ้นไปจากการอาศัย “ราคาทองคำ” นั่นแหละเป็นมาตรฐานเบื้องต้น เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่เศรษฐกิจยังอยู่ในห้วงวิกฤต ผลตอบแทนพันธบัตรไม่คุ้มค่า-คุ้มราคาอย่างที่ควรจะเป็น ตลาดหุ้นขึ้นๆ-ลงๆ ตกจากหอ-คอย่น ครั้งแล้ว ครั้งเล่า ฯลฯ มูลค่าของสินทรัพย์ที่มีอัตราเสี่ยงน้อยที่สุดอย่าง “ทองคำ” ย่อมต้องพุ่งปรู๊ดๆ ปร๊าดๆ อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ โดยแม้ว่าทุกวันนี้...ราคาทองอาจอยู่ที่ประมาณ 1,900 กว่าดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังจากเคยขึ้นไปถึง 2,075 ดอลลาร์ต่อออนซ์เมื่อช่วงเดือนที่แล้ว แต่ต้องอย่าลืมว่า...สถาบันการเงินชื่อดังของอเมริกา อย่าง “Merrill Lynch” เขาเคยคาดๆ เอาไว้ก่อนล่วงหน้าว่า ไม่น่าจะเกินปี ค.ศ. 2022 ราคาทองคำอาจอยู่ที่ 3,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือกระทั่ง “Citigroup” และอภิมหาเศรษฐีพันล้านอย่าง “นายThomas Kaplan” ผู้ก่อตั้งกลุ่มนักลงทุน “Electrum Group” ไปไกลถึงขั้นคาดว่าอาจขึ้นไปถึง 5,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์เอาเลยก็ไม่แน่ จริง-ไม่จริง...เชื่อ-ไม่เชื่อ ก็ลองไปคิดเอาเองก็แล้วกัน แต่ที่แน่ๆ ก็คือ...ถ้าหากขึ้นไปถึงจุดนั้นเมื่อไหร่ โอกาสที่ “แบงก์ดอลลาร์” จะกลายสภาพเป็นแบงก์กงเต๊ก พร้อมๆ กัมบควาฉิบหาย-วายวอดของตลาดหุ้น ย่อมมีโอกาสได้เห็นอยู่แล้วแน่ๆ!!!




กำลังโหลดความคิดเห็น