คนทั้งโลกพร้อมวิทยาการสมัยใหม่ทุกสาขาสามารถส่งจรวดไปลงดาวอังคารได้ก็จริง แต่ยังไม่สามารถเอาชนะศัตรูที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าได้
การระบาดของโคโรนาไวรัสผ่านไปแล้วกว่า 9 เดือนยังไม่มีวี่แววว่าจะลดลง เพียงแต่บางประเทศอาจจะมีคนติดเชื้อน้อยลง ถ้าจะโชคดีคนเสียชีวิตก็น้อยลงด้วย แต่สถานการณ์โดยรวม ดูแล้วยังไม่น่าไว้วางใจ
หลายประเทศทั่วโลกอาจจะรู้สึกเริ่มชินกับความเสี่ยงและประเทศในโลกตะวันตกเริ่มไม่ใส่ใจ ไม่สนใจสวมหน้ากากอนามัย รวมทั้งทิ้งระยะห่างตามมาตรการสากลที่ใช้กันอยู่ สภาพเช่นนี้จะเห็นในสหรัฐอเมริกาและเยอรมนี รวมทั้งประเทศที่เป็นฝรั่งผิวขาว
จำนวนผู้ติดเชื้อรวมแล้วในโลกเฉลี่ย 4 วัน 1 ล้านคน ทำให้ยอดติดเชื้อรวมทั่วโลกเกือบ 26 ล้านคน เสียชีวิตแล้วเกือบ 9 แสนคน
ใน 3 ประเทศหลักที่การระบาดรุนแรงคือสหรัฐอเมริกา ตามด้วยบราซิลและอินเดียซึ่งยังไม่สามารถควบคุมได้เป็นที่น่าพอใจแม้จะมีการใช้วัคซีนบ้างแล้ว ผลที่ได้นั้นยังไม่พิสูจน์ชัดว่าจะรับกับสถานการณ์ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเชื้อโคโรนาไวรัสกลายพันธุ์อยู่ตลอด
เป็นความท้าทายที่วงการแพทย์และนักวิจัยต่างๆ จะต้องรับกับสภาวะที่ว่าวัคซีนที่มีอยู่อาจจะไม่สามารถจัดการกับเชื้อที่กลายพันธุ์ได้ในปีต่อๆ ไป โอกาสที่จะให้หายขาดคงจะยากเพราะมีคำเตือนอยู่แล้วว่าเชื้อโคโรนาไวรัสจะเป็นเหมือนกับไข้หวัดใหญ่ ระบาดตามฤดูกาลและกลายพันธุ์ทุกปีหรือทุกช่วงเวลา
ดูสภาพแล้วคงจะเป็นการยากที่จะควบคุมการระบาดได้ เพราะในแต่ละประเทศมีมาตรการไม่เหมือนกัน และบางประเทศก็ไม่สามารถควบคุมหรือสั่งการประชาชนได้ ทั้งยังมีความขัดแย้งด้านการเมือง และสีผิวดังเช่นที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา
ที่ผ่านมาเห็นได้ชัดว่าบรรดาแฟนและผู้สนับสนุนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จะไม่ใส่ใจกับการสวมหน้ากากและมาตรการป้องกันอย่างอื่นเอาตามอย่างผู้นำประเทศที่ไม่ยอมรับหลักทางวิทยาศาสตร์
มีปัญหากับผู้เชี่ยวชาญและแพทย์โดยตลอด และนอกจากนั้นผู้นำทำเนียบขาวโดนัลด์ ทรัมป์มักจะใช้นโยบายแบ่งแยกในกลุ่มผู้เชี่ยวชาญและแพทย์แม้กระทั่งองค์กรของตัวเอง ไม่ว่าองค์การอาหารและยา องค์การป้องกันและควบคุมการระบาด และคณะทำงานในทำเนียบขาว
ผู้เชี่ยวชาญอย่างด็อกเตอร์แอนโทนี เฟาซี่ ก็ไม่ถูกให้เครดิตอีกต่อไป เพราะพูดขัดแย้งกับความเชื่อของผู้นำประเทศตลอดเวลา ขณะเดียวกันผู้นำรัฐบาลก็ยังมีความขัดแย้งกับผู้ว่าการมลรัฐต่างๆ ซึ่งอยู่ต่างพรรคทำให้การควบคุมการระบาดเป็นไปได้ยากเพราะแต่ละรัฐ ก็มีกฎหมายและอำนาจผู้จัดการ
ไม่น่าเชื่อว่าชาติมหาอำนาจอันดับหนึ่งด้านเทคโนโลยีและยา อย่างเช่นสหรัฐอเมริกากลายเป็นประเทศที่มีการติดเชื้อและคนเสียชีวิตมากที่สุดในโลก เพราะความขัดแย้งต่อนโยบายและยุทธศาสตร์ในการจัดการกับวิกฤต
การระบาดของโคโรนาไวรัสทำให้สถานการณ์ในโลกยุ่งยาก เพราะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจการเมือง สังคม และความปลอดภัยทุกด้านอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างร้ายแรงจนมีความเสี่ยงว่าถ้ายืดเยื้อต่อไปอาจทำให้เศรษฐกิจซบเซาต่อเนื่องจนถึงขั้นตกต่ำอย่างที่เคยได้เกิดมาก่อนก็ได้
ความเป็นชาติมหาอำนาจอันดับหนึ่งทำให้ผู้นำทำเนียบขาวดำเนินนโยบายเอาใจตัวเอง ไม่คำนึงถึงการอยู่ร่วมกันในสังคมโลก การถอนตัวออกจากสนธิสัญญาต่างๆ เช่น สัญญาควบคุมพลังนิวเคลียร์ของอิหร่าน การควบคุมสภาวะอากาศตามสนธิสัญญาปารีส และการลาออกจากสมาชิกองค์การอนามัยโลกถือว่า เป็นความผยองและไม่สนใจประเทศอื่นๆ
การระบาดของโคโรนาไวรัสไม่เลือกพื้นที่ ไม่เลือกคน และที่ใดมีสภาวะเปราะบางก็จะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ดังที่เกิดขึ้นจากระลอกสามในฮ่องกง และระลอกที่สองในยุโรปตะวันตกในช่วงนี้ ดังจะเห็นได้ว่าตัวเลขการติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ ในสเปน ฝรั่งเศส เยอรมนี อังกฤษ รวมถึงยุโรปตะวันออกและรัสเซียด้วย
เมื่อประชาชนในประเทศเหล่านี้ต้องลำบากกับสภาวะเศรษฐกิจการตกงาน และความลำบากในการใช้ชีวิตนานกว่าครึ่งปี ย่อมไม่มีความอดทนกับสภาพที่จะต้องยอมรับปัญหาอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งยังไม่เห็นวี่แววว่าจะสิ้นสุดเมื่อไหร่ ดังนั้น จึงเกิดการประท้วงมาตรการของรัฐในหลายประเทศ
ที่น่าเหลือเชื่อก็คือประเทศเยอรมนีถือว่าเป็นชาติมหาอำนาจอันดับหนึ่งในยุโรปตะวันตก แต่พลเมืองส่วนหนึ่งซึ่งมีแนวคิดอนุรักษนิยมเหมือนคนผิวขาวในอเมริกาก็มีความเชื่อดึงดันไม่ยอมรับว่าโคโรนาไวรัสเป็นภัย บางส่วนของประชาชนยังเชื่ออีกว่าเรื่องการระบาดนี้เป็นเรื่องลวงโลก
การเดินขบวนคนกว่า 20,000 คนในเบอร์ลินไม่มีคนสวมหน้ากากอนามัยจำนวนมากถือว่าเป็นความเสี่ยงเพราะเยอรมนีเริ่มมีระลอกสอง ดังนั้นเมื่อคนติดเชื้อรายวันปัจจุบันนี้มีมากกว่า 1,000 คนต้องรอดูว่าอีก 10 กว่าวันจากนี้ไปตัวเลขจะเพิ่มขึ้นหรือไม่
เช่นเดียวกับในสเปนซึ่งคนติดเชื้อหลายพันคน ก็ยังมีกลุ่มคนเข้าไปเที่ยวใน สถานบันเทิงต่างๆ ไม่มีการเฝ้าระวังซึ่งถือว่าเป็นความเสี่ยงอย่างมากเช่นกัน
สภาวะเช่นนี้ต้องการความร่วมมือและประสานความเข้าใจ ถ้าจะหยุดการระบาดก็จะมีมาตรการเข้มข้นเหมือนกัน เพราะเชื้อโรคสามารถข้ามแดนได้ในทุกภูมิอากาศ หากปล่อยให้เป็นอย่างนี้โอกาสที่จะหยุดการระบาดและฟื้นฟูเศรษฐกิจได้คงจะเป็นเรื่องยากมาก
เมื่อเศรษฐกิจไม่ดีแล้วต้องมาใช้จ่ายต่างๆ ในการรักษาผู้ป่วยย่อมเป็นภาระหนักหนาสาหัสสำหรับงบประมาณของรัฐบาล รวมถึงองค์กรเอกชนและภาคธุรกิจซึ่งไม่สามารถอยู่ได้ ดังจะเห็นได้จากสภาวะขาดทุนจนถึงขั้นปิดกิจการของสายการบิน โรงแรม และธุรกิจขนาดใหญ่อื่นๆ ซึ่งเคยดำเนินงานมาหลาย 10 ปีหรือกระทั่งเป็น 100 ปี
ทั่วโลกกำลังเร่งหามาตรการ แต่ขณะนี้ที่ทำได้ก็คือการเร่งผลิตวัคซีนและยารักษาซึ่งเป็นการลดขั้นตอนอย่างมาก โดยปกติแล้วการผลิตวัคซีนและการทดลองต้องใช้เวลาหลายปี ดังนั้นมักจะมีข่าวเสมอว่าผู้เชี่ยวชาญและแพทย์ยังสงสัยว่าที่ผ่านการทดลองมาแล้วจะได้ผลอย่างแท้จริงหรือไม่
หลายประเทศคงต้องเผชิญกับวิกฤตทางด้านการระบาด เศรษฐกิจ ซบเซา ถดถอย ธุรกิจหยุดชะงักขาดทุนและความอดอยากของประชาชน จากการว่างงานยาวนาน
ดังนั้นประเทศที่อ่อนแอย่อมจะต้องเป็นภาระของประชาคมโลก รวมถึงองค์กรการเงินระหว่างประเทศที่จะต้องหาทางมาให้เป็นวิกฤตหรือมิคสัญญีจนลามไปประเทศอื่นๆ เพราะความอดอยาก
ต้องรอดูว่ามนุษยชาติจะเอาชนะเชื้อโรคและศัตรูที่มองไม่เห็นได้เมื่อไหร่ และกี่คนต้องเสียชีวิตกว่าจะชนะในวันนั้น