“สอดแนมการเมือง”
“ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย”
“รัฐบาลกับผู้นำชาติต้องทำดีเพื่อสร้างความชอบธรรม..ประชาชนจึงจะยอมรับการนำชาติด้วยใจ”
เรื่องของ“สปก.4-01”ที่เกิดจากฝีมือ“สุเทพ เทือกสุบรรณ” ได้ทำให้รัฐบาล“ชวน หลีกภัย”คะแนนนิยมตกต่ำลงอย่างฮวบฮาบ หลังจากนั้นได้เกิดความขัดแย้งในพรรคร่วมรัฐบาล ก่อนที่พรรคชาติพัฒนาจะเข้าร่วมกับรัฐบาล
แต่การ“เสียบเพื่อชาติ”ของ“น้าชาติ”ครั้งนั้น ก็ทำให้“รัฐบาลชวน”อยู่ได้ไม่นาน ในที่สุด“นายกฯชวน”ก็ประกาศ“ยุบสภา”หนีการอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้าน..
จากนั้นปี่กลองเลือกตั้งก็ดังกระหึ่มขึ้นอีกครา มหกรรมซื้อเสียงและโกงเลือกตั้งของทุกพรรค เพื่อมุ่งให้ได้สส.เข้าสภาฯมากที่สุด ทำให้การเลือกตั้งในชาติไทย ไม่เคยบริสุทธิ์ยุติธรรมอย่างที่ควรจะเป็น ดังชาติที่เจริญแล้วและใช้ระบอบประชาธิปไตยเลือกตั้ง เพราะผู้สมัครสส.ส่วนใหญ่ในสนามเลือกตั้งไทย มักใช้สูตร“ชนะด้วยเงินและกลโกงสารพัด”เอาชนะคู่แข่ง..
นั่นทำให้“ประชาธิปไตยทุนสามานย์เลือกตั้งกำมะลอ”ของไทย เต็มไปด้วยการให้ร้ายป้ายสีอันสกปรกโสมม ไม่เคยมีการเลือกตั้งไทยครั้งใด ที่“ผู้สมัคร สส.”ไม่ซื้อเสียงและไม่โกง เรียกว่า..แทบจะหาการเอาชนะคู่แข่งด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรมไม่ได้เลย..จริงไหม?
“จารย์โต้ง-ไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ” ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนเดียวของ “พล.อ.ชาติชาย-ท่านผู้หญิงบุณเรือน” ไม่เคยชมชอบการเมืองทุนสามานย์เช่นนั้น แต่“จารย์โต้ง”ก็เคยลงเลือกตั้ง สว.หนึ่งครั้ง และลงสมัครแข่ง สส.สองครั้ง อีกด้วย
ผมนึกถึงคำพูดของ“น้าชาติ” ในค่ำวันหนึ่งของปี 2535 ที่ห้องรับแขกบ้านราชครู ว่า..
“ชัช..พวกเราต้องทำให้‘โต้ง’ลงสมัครเลือกตั้งเป็น สส.ให้ได้”
นับเป็นความบังเอิญ ที่ความคิดของ“น้าชาติ”ไปตรงกับความคิดของ“จารย์โต้ง” ที่อยากเข้าสภาฯไปผลักดัน ในสิ่งที่“จารย์โต้ง”คิดและอยากทำพอดิบพอดี
“จารย์โต้ง”อยากเข้าทำงานในสภาฯ เพื่อทำหลายเรื่องราวให้ชาติกับประชาชน เช่น แก้ปัญหานักการเมืองคอร์รัปชั่นโกงชาติ แก้ปัญหาความเดือดร้อนไม่เป็นธรรมในภาคใต้ แก้ปัญหาความเดือดร้อนให้คนจนในเมืองและชนบท แก้ปัญหาการกระจายรายได้ทางเศรษฐกิจ ความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยกับคนจน แก้ปัญหาเกี่ยวกับมลภาวะอันเลวร้ายต่างๆ แก้ปัญหาการเมืองระหว่างประเทศในหลายเรื่อง ฯลฯ
“จารย์โต้ง”มักพูดกับพวกเราเสมอว่า อยากให้ชาติมีการปฏิรูปทุกภาคส่วน เช่น ปฏิรูปการศึกษาทุกระดับให้ดีมีคุณภาพยิ่งขึ้น ปฏิรูปค่านิยมผิดๆในสังคม ปฏิรูปการเกษตรให้ทันสมัยได้ผลผลิตและราคาที่เป็นธรรม ปฏิรูปอุตสาหกรรมมิให้ก่อมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม ปฏิรูปการกำจัดขยะให้ทันสมัย ไม่ให้ส่งผลร้ายต่อสุขภาพประชาชน
ปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจให้เอื้อต่อผู้ประกอบการ เอสเอ็มอี. ทั้งด้านการตลาดและการเข้าถึงแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำ ปฏิรูปสวัสดิการแก่ผู้ยากไร้ในเมืองและชนบท ปฏิรูปเพื่อลดความเหลื่อมล้ำมิติสำคัญๆในสังคมไทย ฯลฯ
เรียกว่า..“จารย์โต้ง” ที่รักชาติบ้านเมือง อยากเป็น“นักการเมือง” อยากทำงานในสภาเพื่อจะปฏิรูปชาติ แก้ต้นเหตุปัญหาสำคัญๆของชาติ อยากทำโน่นทำนี่ทำนั่น เพื่อทำให้ชาติบ้านเมืองเจริญรุ่งเรือง เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ฯลฯ นั่นเอง
การลงเลือกตั้งครั้งแรกในชีวิต ของ“จารย์โต้ง-ไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ” โดยสื่อฯพากันรายงานข่าว“จารย์โต้ง”เป็นผู้สมัคร“สส.” ที่เป็นดาวรุ่งพุ่งแรงมีโอกาสสูงมากที่จะได้เข้าทำงานในสภาฯ และในระหว่างที่“จารย์โต้ง”ทุ่มเทหาเสียงอยู่นั้น จู่ๆ“น้าชาติ”ก็ตามให้ผมไปพบโดยด่วน
ในห้องรับแขก “น้าชาติ”นั่งคุยอยู่กับชายคนหนึ่ง เมื่อผมโผล่พรวดเข้าไปเป็น“ส่วนเกิน” ทั้งคู่ก็หันมามองผมทันที “น้าชาติ”เปิดฉากพูดอย่างติดตลกว่า..
“เอ้านี่..ชัช เตาแก๊ส..แล้วนี่..ชัช เตาปูนนะ”
“น้าชาติ”ทำให้ “ชัชวาลย์ คงอุดม-ชัช เตาปูน” เจอกับ“ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย-ชัช เตาแก๊ส”เข้าแล้ว ในหัวผมเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม..“น้าชาติ”เรียก“ชัช-พบ-ชัช”เพื่ออะไรหว่า?
“..ชัช เตาปูนตั้งใจเอาคะแนนเสียงมาช่วยโต้ง โดยโต้งไม่ต้องเสียเงินสักบาทเดียว แต่ชัช เตาแก๊สต้องพาโต้งไปเจอกับชัช เตาปูนที่บ้านนะ..ผมฝากด้วยนะชัช..”
ภารกิจพา“จารย์โต้ง”ไปพบ“ชัช เตาปูน”ที่บ้านนั้น ต้องแลกเปลี่ยนถึงเหตุผลกับ“จารย์โต้ง”หลายเพลา ในที่สุด“จารย์โต้ง”ก็ตัดสินใจไปพบ“ชัช เตาปูน”ที่บ้าน ซึ่งการพบปะครั้งนั้นไม่มีอะไรมากไปกว่า การไปวางแผนหาเสียงด้วยการ ให้“จารย์โต้ง”ไปเจอผู้คนย่านเตาปูนและบางซื่อเท่านั้นเอง
โดยรวมแล้ว การพบปะผู้คนในเขตพื้นที่เลือกตั้ง เป็นสิ่งที่“จารย์โต้ง”กับทีมงานหาเสียง ซึ่งเป็นเพื่อนพ้องน้องพี่ที่รัก“จารย์โต้ง”ทำเป็นหลักอยู่แล้ว โดยเฉพาะหัวเรี่ยวหัวแรงคนสำคัญ ที่คอยให้กำลังใจไม่เคยขาดตกบกพร่อง
อย่าง“อโณทัย”ภรรยา“จารย์โต้ง” โดย“โณ”ได้ดึง“โจ้-ยุทธพันธุ์ มีชัย” อดีตผู้นำ นักศึกษา ม.รามคำแหงมาช่วยอีกแรงหนึ่ง ซึ่งภายหลัง“โจ้”เป็นเสมือน“เงา”ของ“จารย์โต้ง”ตลอด
การเลือกตั้งในครั้งนั้น “เพื่อนคนหนึ่งของผม”ที่เคยเข้าป่า และกลับมาเป็นเจ้าของธุรกิจค้าวัสดุก่อสร้าง และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ อยู่ในพื้นที่เขตเลือกตั้งแห่งหนึ่งของ“จารย์โต้ง” เขาทำ“เรื่องนี้”ให้กับพรรคการเมืองหนึ่งมานานแล้ว
เพื่อนคนนี้มาพบผมด้วยข้อเสนอ จะทำคะแนนให้“จารย์โต้ง”ไม่ต่ำกว่า 1-2 หมื่นเสียง โดยมีค่าใช้จ่ายเพียง 1 ล้านบาท และถ้าไม่ได้ 1 หมื่นเสียงจะจ่ายเงินคืนให้ 2 ล้านบาททันที
ผมบอกเรื่องนี้ให้“จารย์โต้ง”ตัดสินใจ เพราะ“เพื่อนคนนี้”เป็นนักเคลื่อนไหวยุค“14 ตุลา” ที่รักเคารพ“จารย์โต้ง” และเป็นผู้อยู่เบื้องหลังในการทำคะแนน 1 หมื่นกว่าเสียงในเขตเลือกตั้งนี้ ให้กับผู้สมัครสส.พรรคการเมืองหนึ่งด้วยเงินสูงถึง 10 ล้านบาท!
ทว่างานนี้ถูกปฏิเสธทันที เพราะ“จารย์โต้ง”มองว่า “ค่าใช้จ่าย”เป็นการซื้อเสียง ซึ่งไม่ใช่เรื่องเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ยุติธรรม ถือเป็นการโกงเลือกตั้ง! ซึ่งเป็นสิ่งที่“จารย์โต้ง”วิพากษ์วิจารณ์อย่างเอาเป็นเอาตายมาโดยตลอด
การหาเสียงหลักของ“จารย์โต้ง” ทุ่มเทไปกับการคิดค้นและเสนอนโยบาย ที่เป็นประโยชน์ต่อชาติบ้านเมืองและคนไทยส่วนใหญ่ “จารย์โต้ง”และทีมงาน ตระเวณตะลอนๆ ไปหาเสียงกับผู้คนตามพื้นที่ในเขตเลือกตั้งอย่างมิรู้เหน็ดเหนื่อย
“น้าชาติ”แห่งพรรคชาติพัฒนา ชูคำขวัญทั่วประเทศ“หันหน้าเข้าหากัน เร่งสร้างเศรษฐกิจไทย” แต่ผู้สมัครสส.กทม.“จารย์โต้ง”มีคำขวัญต่างหาก เพื่อ“ชาวกทม.”โดยเฉพาะ
การเลือกตั้งครั้งแรกของ“จารย์โต้ง” แพ้คู่แข่งราวหมื่นคะแนนเศษ!
“จารย์โต้ง”พูดถึงเหตุการณ์เลือกตั้งครั้งนั้น ในหนังสือ“ไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ ชีวิต มุมมอง ความคิด”ว่า
ตอนลงสมัครครั้งแรกเมื่อปี 2535 นั้น ผมคิดว่าตัวเองมีชื่อเสียงพอที่จะเป็นผู้แทนราษฎรได้ เพราะเราเป็นลูกนายกฯ เคยเป็นที่ปรึกษานายกฯ ในทีมบ้านพิษณุโลก แต่คิดผิดอย่างสิ้นเชิง ผมแพ้ผู้สมัครจากพรรคพลังธรรมอย่างย่อยยับ ทั้งๆที่ก่อนเลือกตั้งสื่อมวลชนยกให้ผมเป็นเต็งหนึ่ง แต่ผลเลือกตั้งออกมาปรากฏว่า คะแนนที่ผมได้ไม่ติด 1 ใน 10 อันดับด้วยซ้ำ
หลังการเลือกตั้งผ่านพ้นไป ผมเล่าให้ “น้าชาติ”และแกนนำพรรคบางคน เรื่อง“เพื่อน”ที่เป็นหัวคะแนนให้พรรคการเมืองที่ชนะ“จารย์โต้ง” เคยเสนอ“ขอ 1 ล้านบาทจะทำ 1 หมื่นกว่าเสียง” ถ้าทำไม่ได้จะ“คืนเงิน 2 ล้านบาทให้ทันที” แถมพร้อมวาง“เงินสด 2 ล้านบาท”ไว้ให้ก่อนด้วย!
“น้าชาติ”กับแกนนำพรรคบางคนฟังแล้ว..หัวเราะกันครืน! แถมมองกันว่า“จารย์โต้ง”ควรชนะแต่กลับแพ้ เพราะ“โต้งขี้เหนียวเงินแค่ 1 ล้านบาท”เท่านั้น!
ทว่า..เรื่องนี้“จารย์โต้ง”พูดกับผมว่า..“พี่ภูมิใจนะชัช..ที่เราแพ้เพราะไม่ซื้อเสียง”!!!
อืม..บทเรียนแรกของสุภาพบุรุษ“จารย์โต้ง” ที่รู้แพ้รู้ชนะ รู้ว่า“แพ้วันนี้เพื่อชนะวันหน้า”!