“สอดแนมการเมือง”
“ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย”
ต้นเหตุปัญหาสำคัญๆ ของชาติ-คือ-ต้นเหตุปัญหาอันเลวร้ายที่ทำร้ายชาติและประชาชน!
รัฐบาลเลือกตั้ง..ที่ซื้อเสียงและโกงเลือกตั้ง ต้องโกงชาติเพื่อความร่ำรวยของตนกับพวกพ้อง และสะสมทุนสำหรับเลือกตั้งครั้งใหม่ด้วย นี่คือ..ต้นเหตุปัญหาซ้ำซากมากมายของชาติไทย!
รัฐบาลรัฐประหาร..ไม่ปราบโกง-ไม่ลดความเหลื่อมล้ำ-ไม่ปฏิรูปชาติ แถมยังเล่นพรรคเล่นพวก จนสร้างความไม่เป็นธรรมให้กับสังคม คืออีกต้นเหตุปัญหาสามานย์ของชาติไทย!
ดังนั้น รัฐบาลเลือกตั้ง-ต้องหยุดโกงชาติ หยุดเห็นแก่ตัวกับพวกพ้อง หยุดขยายช่องว่าง “รวยกระจุกจนกระจาย” ให้ทวีคูณขึ้น หยุดเพิ่มความอยุติธรรมให้กับสังคม ฯลฯ
พรรคการเมือง-ต้องส่งผู้สมัครสส.ที่ดีมีคุณภาพ ต้องหยุดการเมืองสามานย์โกงชาติลงให้ได้ เพื่อยุติต้นเหตุ “รัฐประหาร” ในชาติไทย
อืม..ทุกพรรคการเมืองจะทำดีได้ใหม? สส.ทุกคนจะทำดีได้ใหม? สภาผู้แทนราษฎรจะทำดีได้ใหม? นายกฯและครม.จะทำดีได้ไหม? ทำดี-คือทำผลงานให้ชาติกับประชาชนเป็นหลัก มิใช่ทำทุกอย่างที่เลวทรามเพื่อให้พรรคตนชนะเลือกตั้ง-ยึดสภา-ยึดรัฐบาลได้ เพื่อใช้อำนาจโกงชาติจนรวยล้นฟ้า
ถ้า “นักการเมืองเลือกตั้ง” กับ “นักการเมืองรัฐประหาร” ไม่ทำสิ่งดีงามให้ชาติกับประชาชนอีก ก็ต้องฟันธงเปรี้ยงไปเลยว่า “นักการเมืองทั้งสองรูปแบบ” คือต้นเหตุปัญหาของชาติอย่างแท้จริง ซึ่งบั่นทอนบ่อนเซาะความมั่นคงอย่างใหญ่หลวง ทั้งต่อชาติ-ศาสนา-พระมหากษัตริย์-ประชาชน
โดย “นักการเมืองทั้งสองรูปแบบ” ได้สร้าง “วงจรอุบาทว์ทางการเมือง” ยาวนานมากว่า 80 ปี ผลัดกันเป็นรัฐบาลบริหารชาติอย่างอธรรม ด้วยประชาธิปไตยเผด็จการรัฐสภา กับ เผด็จการเบ็ดเสร็จไม่ปฏิรูปชาติ ด้วยสูตร “สมบัติชาติผลัดกันโกง”
เรียกว่า..รัฐบาลโกงเลือกตั้งโกงชาตินั้น-เลวสุดๆ! ส่วนรัฐบาลรัฐประหาร-ไม่ปฏิรูปชาติแล้วยังโกงชาติ-ก็เลวสุดๆ เช่นกัน! รัฐบาลสามานย์ทั้งคู่ ได้สร้างความขยะแขยงให้กับประชาชนไทย จากอดีตตราบจนวันนี้
ดังนั้น..การเลือกตั้งกับการรัฐประหาร ในชาติไทยที่ผ่านมาครั้งแล้วครั้งเล่า จึงมิใช่การ“ แก้” แต่กลับ “เพิ่ม” ต้นเหตุปัญหาสำคัญๆ ให้ประชาชนต้องแบกรับความเสียหายมากขึ้นเรื่อยๆ ชนิดไม่สิ้นสุด
การเลือกตั้งครั้งแรกหลัง “เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ” เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2535 จึงเป็นแค่ “ผู้มีอำนาจ” ยุคนั้น ใช้สูตร “แก้ผ้าเอาหน้ารอด” ให้ผ่านไปแค่ชั่วคราวเท่านั้น เมื่อไม่ปฏิรูปการเมืองก่อนเลือกตั้ง บรรดา “นักการเมือง” ที่แข่งขันกันในสนามเลือกตั้ง จึงเอาชนะกันแบบโปร่งใสไม่ได้ “นักการเมืองคนใด” มีเงินมากกว่ากับโกงเก่งกว่า ก็มีโอกาสสูงที่จะเอาชนะคู่แข่งในสนามเลือกตั้ง ดังเช่นทุกคราที่ผ่านมา
การเลือกตั้งทุกครั้งจึงอุตลุดไปหมด มีทั้งเรื่องผู้สมัครสส.คนนั้นคนนี้ซื้อเสียง ข้าราชการตรงนั้นตรงนี้ไม่เป็นกลาง รวมทั้งมีข่าวที่ “ลึกไม่ลับ” ถึงการซื้อตัว “หัวคะแนน” ทั้งในหมู่บ้านและตำบลนั้นนี้ เพื่อให้ไปซื้อเสียงผู้มีสิทธิ์ลงคะแนน ฯลฯ
ห้วงนั้นทุกพรรคมีแต่เรื่องของผู้สมัคร ส.ส. ทั้งหน้าใหม่และอดีต ส.ส. มาเจอหัวหน้าพรรคและแกนนำพรรคคนนั้นคนนี้ พลุกพล่านไปหมด มีทั้งมาขอเงินและมารับเงินสนับสนุน ทั้งจากทางพรรคและนายทุนบางคน รวมทั้งมีการแลกเปลี่ยนข่าวลึกๆ ของผู้สมัคร ส.ส. ที่มารายงานสถานการณ์ในพื้นที่เขตเลือกตั้งนั้นและนี้ว่า คู่แข่งมาแรงกว่าหรือ ส.ส.พรรคเราเหนือกว่า ข้อมูลตรงนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด ต่อการถูกพรรคตัดเงิน-ลดเงิน-เพิ่มเงินสนับสนุนทั้งสิ้น
ทว่าผู้บริหารทุกพรรค มิได้เชื่อผู้สมัครสส.ที่มารายงานเพียงฝ่ายเดียว เพราะทุกพรรคจะมี “ทีมงานลับ” คอยตรวจสอบ “คำพูดผู้สมัคร ส.ส.” คนนั้นคนนี้ว่าจริงหรือเปล่า? อ้อ..“ทีมงานลับ” ยังต้องทำตัวเป็น“ยอดนักสืบโคนัน” ว่า “เงิน” ที่พรรคให้ผู้สมัครสส.ไปนั้น ถึงมือผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนเลือกตั้งในเขตเป้าหมายหรือเปล่า?
เมื่อพรรคให้ “เงิน” ผู้สมัคร ส.ส.“ร้อยบาท” แต่เงินไปถึงมือผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง ในเขตที่เป็นเป้าหมายในการซื้อเสียงแค่“ห้าสิบบาท” หรือไม่ถึงเลยสักบาท? เพราะ“ผู้สมัคร ส.ส.”อาจอมเงินพรรค หรือ “ผู้สมัครส.ส.”ไม่อม แต่เป็น “หัวคะแนน”ที่ อม(ว่ะ) ฯลฯ
ดังนั้น “นักการเมืองขาโจ๋” กับ “ทุนสามานย์บางคน” จึงเชื่อว่า การจะเอาชนะเลือกตั้งที่สกปรกนั้น จะต้องสามานย์ให้ครบวงจร คือ ต้องใช้ “เงิน-นโยบาย-กลโกง”สารพัด เพื่อให้ตรงใจผู้คนส่วนใหญ่ที่ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งไงล่ะ
เพราะ “นักการเมือง” ถือการ “ชนะ” หรือ “แพ้” จะส่งผลต่อการเมืองว่า จะ “รุ่ง” หรือ “ดับ” จึงเกิดเรื่องที่แอบทำกันอย่างเงียบกริบ แต่เมื่อเกิดเหตุขึ้นก็เป็นข่าวดังทุกครั้ง ด้วยนโยบาย“เงินกับกระสุนปืน”นั่นเอง
“เงิน” แจกจ่ายให้ “หัวคะแนน” ไว้ซื้อเสียง ส่วน “กระสุนปืน” ไว้จัดการ “หัวคะแนน” ที่อมเงิน ส่งผลให้ “ผู้สมัคร ส.ส.บางคน” พ่ายแพ้ต่อคู่แข่ง
งานลับสุดยอดอีกงาน ที่ทุกฝ่ายในพรรคต้องร่วมมือกัน “ซื้อตัว” ข้าราชการใหญ่น้อย ที่เกี่ยวข้องกับการให้คุณและให้โทษต่อผลการเลือกตั้ง เรียกว่า..ข้าราชการในกระทรวงสำคัญๆ มัก “ถูกซื้อ” หรือ “ถูกจ้าง” ให้ “เอาหูไปนา เอาตาไปไร่” -ก็มี! จ้างให้ “ทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อน” กับคนทำผิด-ก็มีอีก! จ้างให้ใช้กฎหมายและกฎกติกาอย่างไม่เป็นธรรม ด้วย “สองมาตรฐาน” ชนิดที่ “พวกเราต้องไม่ผิด-พวกเขาถูกก็ต้องผิด” ฯลฯ
ที่สำคัญมักมีการ “จ้าง” ให้ข้าราชการบางส่วน ที่อยู่ใน “คูหา” ลงคะแนนและนับคะแนน ให้หาโอกาสใช้เล่ห์ร้ายโกงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ให้ “ผู้สมัคร ส.ส.” ที่จ่ายเงินเป็นพิเศษ ดังนั้น จึงมักเกิดปัญหาเรื่องซื้อเสียงและโกงสารพัดวิธี เช่น เจอเงินติดอยู่กับบัตรเลือกตั้ง! เจอบัตรเลือกตั้งมากกว่าจำนวนคนมีสิทธิ์ลงคะแนนเสียง! กล่องบัตรลงคะแนนเสียงหาย! เจอคนลงคะแนนเสียงแล้วแต่มีคนชื่อเดียวกันโผล่มาอีก! เจอไฟในคูหาไม่สว่าง จนเจ้าหน้าที่นับคะแนนผิด! ผู้สมัครสส.ให้นับคะแนนใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า ฯลฯ
ห้วงนั้น..แม้แต่การทำงานของกกต. ก็อุตลุดไม่แพ้กัน โดยประชาชนรู้ว่า ผู้สมัครสส.หลายคนถูกกลั่นแกล้งว่า “ทำผิด” ขณะที่ผู้สมัครสส.บางคนทำผิดจริง แต่กลับรอดผิดชนิด “ค้านสายตาคนดู” เรียกว่า..เป็นการเลือกตั้งที่สกปรกโสมมครั้งหนึ่ง
ทั้งนี้เพราะการเลือกตั้งครั้งนั้น เกิดขึ้นท่ามกลางกระแสประชาชนเรียกร้อง ให้ “นายกรัฐมนตรี” ต้องมาจากการเลือกตั้ง ทำให้การเลือกตั้งแข่งขันกันอย่างดุเดือด ต่อสู้กันชนิดแพ้ไม่ได้ ต้องชนะลูกเดียว เพราะพรรคใดได้สส.มากเป็นอันดับหนึ่ง “หัวหน้าพรรค” ก็มีโอกาสสูงที่จะได้เป็น “ผู้นำชาติไทย”
สุดท้าย..ผลการเลือกตั้งปรากฎดังนี้ พรรคประชาธิปัตย์โดย “ชวน หลีกภัย”ได้ ส.ส. 79 คน พรรคชาติไทยโดย “พล.ต.อ.ประมาณ อดิเรกสาร” ได้ ส.ส. 77 คน พรรคชาติพัฒนาโดย“พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ”ได้สส. 60 คน พรรคความหวังใหม่โดย“พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ”ได้ ส.ส. 51 คน พรรคพลังธรรมโดย“พล.ต.จำลอง ศรีเมือง” ได้ ส.ส. 47 คน พรรคกิจสังคมโดย“มนตรี พงษ์พานิช”ได้ ส.ส. 22 คน พรรคเสรีธรรมโดย “ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์” กับพรรคเอกภาพโดย “อุทัย พิมพ์ใจชน” ได้ ส.ส. 8 คนเท่ากัน พรรคมวลชนโดย “ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” ได้ ส.ส. 4 คน พรรคประชากรไทยโดย “สมัคร สุนทรเวช” ได้ ส.ส. 3 คน และ..พรรคราษฎรโดย “ชัยภักดิ์ ศิริวัฒน์” ได้ ส.ส. 1 คน
ครั้งนั้น..พรรคปชป.เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล โดย “ชวน หลีกภัย” ขึ้นเป็น “นายกรัฐมนตรี” คนที่ 20 มี 4 พรรคการเมืองเข้าร่วม คือ พรรคความหวังใหม่ พรรคพลังธรรม พรรคเอกภาพ และพรรคกิจสังคม ส่วนพรรคการเมืองนอกนั้นเป็น “ฝ่ายค้าน” โดย “หน.พรรคชาติไทย” เป็น “ผู้นำฝ่ายค้าน”
แน่นอน “น้าชาติ-จารย์โต้ง-ผมกับทีมงาน” พร้อมแล้วที่จะทำงานในฐานะ“ฝ่ายค้าน”!
ตั้งรัฐบาล “ชวน” ไม่ได้ยากเย็น แต่รัฐนาวา “ชวน” จะลอยลำได้นานแค่ใหนหว่า..?
..โปรดติดตามตอนต่อไปในสัปดาห์หน้า..